วันเสาร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559

"เคล็ดลับหน้าเด็ก"

เคล็ดลับหน้าเด็ก
ถ้าคุณอยากหน้าเด็กตลอดกาล เคล็ดลับง่ายๆ ก็คือ การสร้างความสมดุลให้ชีวิต ใช้ชีวิตแบบไม่เครียดทั้งชีวิตที่ทำงาน และชีวิตที่บ้าน ผลการวิจัยล่าสุดระบุว่า ความเครียดจะมีผลน้อยมากต่อสุขภาพโดยรวม หากคุณรู้จักควบคุมมันให้อยู่หมัด โดย เดวิด อัลเมดา ศาสตราจารย์ด้านการพัฒนามนุษย์และการศึกษาเกี่ยวกับครอบครัวของเพนน์สเตท บอกว่า จริงๆ แล้วคนเราสามารถบอกทิศทางด้านสุขภาพของเราในอีกสิบปีข้างหน้าได้ โดยการวัดจากสถานการณ์ทางด้านสุขภาพในปัจจุบัน และประเมินตัวเองว่าเราเครียดมากเกินไปสำหรับการใช้ชีวิตในแต่ละวันหรือเปล่า ผลการศึกษาครั้งนี้จัดทำขึ้นกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 2,000 คน โดยมีคำถามที่นักวิจัยถามกลุ่มตัวอย่าง เช่น สถานการณ์การขึ้นลงของอารมณ์ในแต่ละวัน การรับมือกับเรื่องเครียดในชีวิตประจำวัน และเรื่องสุขภาพทั่วไป
นักวิจัยค้นพบว่าคนที่ปล่อยตัวเองให้จมปลักอยู่กับความเครียดในแต่ละวัน โดยความเครียดมักเกิดจากเรื่องทำงาน และเรื่องอื่นๆ ในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา สุขภาพ โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ และหลอดเลือดหัวใจค่อนข้างสูงทีเดียว นักวิจัยบอกว่าสำหรับคนวัยทำงาน การพยายามรับมือกับปัญหารอบตัวถือเป็นสิ่งสำคัญมาก บางคนมีงานทำในแต่ละวันไม่มาก แต่เป็นคนที่มองอะไรในแง่ลบไปหมด อาจจะทำให้มีปัญหาสุขภาพที่หนักหน่วงกว่าคนที่มีปริมาณงานเท่ากัน ทว่าเป็นคนมองอะไรในแง่บวกมากกว่าก็เป็นได้
เดวิดเสริมว่าจากผลการวิจัยได้ชี้ชัดว่าคนทั่วไปมี 2 แบบ กล่าวคือ กลุ่มหนึ่งเมื่อเจอกับสถานการณ์ความเครียด พวกเขาจะปล่อยให้ความเครียดคอยเกาะติดตัวเอาไว้กับอีกกลุ่มหนึ่งที่จะค่อยๆ ปล่อยให้ความเครียดสลายออกไปจากตัวเขา ให้คำแนะนำว่าคนเราไม่ควรจะหลีกหนีปัญหาในชีวิต สิ่งที่เราควรทำคือ เรียนรู้ที่จะรับมือกับปัญหาในแง่มุมบวก และค่อยๆ แก้ไขไปในทิศทางที่สร้างสรรค์มากกว่าจะเป็นไปในทิศทางลบ
ที่มา นิตยสาร Men’s Health ฉบับเดือนมกราคม 2556

วันศุกร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559

5 ที่พักกางเต็นท์ติดแอร์ วิวสวย อากาศดี ใกล้ชิดธรรมชาติ

พาไปเปลี่ยนบรรยากาศกับที่สไตล์แคมป์ปิ้ง เอาใจนักเดินทางขาลุย ที่ชื่นชอบความสนุกแบบแอดเวนเจอร์ แต่ขอพกความสะดวกสบายไปพักผ่อนด้วย กับนี่เลย ที่พักกางเต้นท์ติดแอร์ บรรยากาศดี ใกล้ชิดธรรมชาติ 
10703647_910711908956401_4188078079782249459_n
1.โรงแรมหินตกริเวอร์แคมป์ ณ ช่องเขาขาด
แคมป์ปิ้งรีสอร์ทแนวผจญภัยที่ดีที่สุดในพื้นที่ประวัติศาสตร์ของโลก ท่ามกลางป่าเขาและธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์  เปิดประสบการณ์กับที่พักสไตล์บูติคแนวใหม่แบบแคมป์ซาฟารี พร้อมการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยโดยไม่ต้องสละความสะดวกสบาย
ที่พักโดดเด่นด้วยการตกแต่งสไตล์แอฟริกันซาฟารี โดยใช้วัตถุดิบคุณภาพมาทำเป็นเต็นท์ขนาดใหญ่ พร้อมที่นอน ห้องน้ำส่วนตัว และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบครบครัน
ที่ตั้ง : 109 ม.9 บ้านวังเขมร ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี
โทรศัพท์ : 08 1754 3898
เว็บไซต์ : www.hintokrivercamp.com
ขอบคุณภาพจาก: https://www.facebook.com/hintokrivercamp
12359869_720200268114610_4213723063895859093_n
2.เขาสก บูติก แคมป์
อีกทางเลือกของการพักผ่อนด้วยทำเลที่ตั้งบนภูเขาสูง โอบล้อมด้วยธรรมชาติและทัศนียภาพที่สวยงาม
ที่นี่ให้บริการเต็นท์พักสุดหรูขนาดใหญ่ที่พียบพร้อมไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย ให้คุณได้ดื่มด่ำไปกับธรรมชาติ สัมผัสสายหมอกที่แสนจะเย็นสบาย และชมความงามของอาทิตย์อัสดงยามเย็น
พร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ฉ่ำปอดที่เขาศกบูติกแคมป์
ที่ตั้ง : 111/36 ม.5 ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต
โทรศัพท์ : 076 521850, 076 521475
เว็บไซต์ : www.khaosokboutiquecamps.com
ขอบคุณภาพจาก: https://www.facebook.com/KhaosokDiscoveryBoutiqueCamps
11053170_929270763803816_8747008036915444832_n
3.เขาเขียว เอสตาเต้ แคมปิ้ง รีสอร์ท แอนด์ ซาฟารี
ที่พักแบบเต็นท์แนวซาฟารีแคมป์สไตล์โมเดิร์น สุขสดชื่นด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์และเลือกพักเต็นท์ได้ 3 สไตล์ ทั้งเอสตาเต้ เวลโล่ , เอสตาเต้ เฟอร์ และ เอสตาเต้ คราว ซึ่งมีการตกแต่งที่เน้นแนวซาฟารี ใกล้ชิดธรรมชาติ สะดวกสบายด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกและเฟอร์นิเจอร์ครบครัน
ที่ตั้ง : 235 ม.7 ต.บางพระ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี
โทรศัพท์ : 08 9440 6604
เว็บไซต์ : www.estateresort.com
ขอบคุณภาพจาก: https://www.facebook.com/ThaiVoucher
12346387_979862842071745_7618855606915654665_n
4.คีรีมายากอล์ฟ รีสอร์ท แอนด์ สปา
ไฮเอนด์รีสอร์ทใจกลางผืนป่า สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งขุนเขา ดื่มด่ำไปกับสายหมอกยามเช้าและบรรยากาศของภูเขาที่โอบล้อม โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปท์การออกแบบที่ใกล้ชิดธรรมชาติ
ไฮไลท์ของที่นี่คือ เต็นท์วิลล่า ที่มีเพียง 4 หลัง ภายในตกแต่งในสไตล์ Boutiqe Luxury เพิ่มความหรูหราด้วยอ่างจากุชชี่แบบอนดอร์และสปาส่วนตัว พร้อมห้องพักอีก 3  แบบ นอกจากนี้ทุกห้องยังมีเดย์เบดริมระเบียงให้นั่งชิลสบายและดื่มด่ำไปกับธรรมชาติรอบๆ ที่พัก และวิวสนามกอล์ฟที่ออกแบบโดยแจ็ค นิคลอส ที่สวยและเอาใจผู้ที่ชื่นชอบกอล์ฟแบบสุดๆ
ที่ตั้ง : 1/3 ม.6 ถ.ธนะรัชต์ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
โทรศัพท์ : 044 426000, 044 929888
เว็บไซต์ : www.kirimaya.com
ขอบคุณภาพจาก: https://www.facebook.com/Kirimayafanpage
198
5. ฟาร์มโชคชัย บูติค แคมป์ปิ้ง
ใครที่ชื่นชอบบรรยากาศแบบแคมป์ปิ้งห้ามพลาดฟาร์มโชคชัย บูติค แคมป์ปิ้ง เป็นอันขาด เพราะที่นี่จะพาคุณไปดื่มด่ำกับบรรยากาศของธรรมชาติและสัมผัสกับประสบการณ์นอนบูติคเต็นท์ที่มีมากมายถึง 50 หลัง ท่ามกลางสวนป่าขนาดใหญ่
นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมไว้รองรับนักท่องเที่ยวขาลุย อาทิ ชมสาธิตการรีดนมวัว การขับรถ ATV การป้อนนมสัตว์ ทานอาหารในบรรยากาศแคมป์ปิ้ง ฯลฯ ภายใต้การบริหารระดับมาตรฐานฟาร์มโชคชัย
ที่ตั้ง : ฟาร์มโชคชัย 169 ม.2 ถ.มิตรภาพ ต.หนองน้ำแดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 30130
โทรศัพท์ : 044 328458, 044 935504 – 5 ต่อ 109
เว็บไซต์ : www.farmchokchai.com
ขอบคุณภาพจาก: http://www.farmchokchai.com/

วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559

"3 สมุนไพรดูแลผิว รับลมหนาว"

3 สมุนไพรดูแลผิว รับลมหนาว

ครั้นพอเปลี่ยนมาอาบน้ำอุ่น ผิวกลับแห้ง แตก หลุดลอกเป็นขุย แถมคันคะเยอไปทั้งตัวคุณแม่บอกว่าอาการคัน เกิดจากน้ำมันเคลือบผิวถูกชะล้างออกไปขณะอาบน้ำ ประกอบกับความชื้นในอากาศลดลง ผิวจึงสูญเสียความชุ่มชื้น 

สองพี่น้องเกาแกรกๆ จนแขนขาแดง คุณแม่เห็นแล้วสงสาร จึงเปิดตำรายาของคุณยาย หยิบสูตรสมุนไพรรักษาผิวมาให้เลือกใช้ ดังนี้ค่ะ
สูตร 1: น้ำมันงา โขลกงาดิบ 1 ถ้วย ให้ละเอียด แล้วบีบเอาน้ำมันจากงาเก็บไว้ในขวด ใช้ทาผิว เช้าและก่อนนอน ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการแห้ง แตก และคัน
สูตร 2: ขมิ้นชัน ล้างขมิ้นชันสดให้สะอาด จากนั้นโขลกให้ละเอียด วางลงในผ้าขาวบาง บีบน้ำที่ได้ เก็บไว้ในขวด ใช้ทาผิวหลังอาบน้ำเช้า และเย็น ช่วยลดอาการคัน และป้องกันผดผื่นตามผิวหนัง
สูตร3: ผิวมะกรูด ใช้ผิวด้านนอกของมะกรูดหรือมะนาว ทาบริเวณที่แห้งและคัน เวลาเช้าและเย็น 
น้ำมันที่ผิวของมะกรูดและมะนาว จะช่วยเคลือบผิวให้ชุ่มชื้น และลดอาการคัน
คุณแม่แนะนำให้ดื่มน้ำบ่อยๆร่วมด้วย ผิวจะได้นุ่มชุ่มชื่นค่ะ

วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559

คุณแม่พลอย พลอยพรรณ และน้องแพนเตอร์กับพูม่าในวันสบายๆ





ที่มา https://www.instagram.com/purploy/

"5 เครื่องดื่มไฮแคลอรีอันตราย เพิ่มพุงโย้"

เคยสังเกตไหม…เวลาที่ลดอาหารทีไร หรือจำกัดทานแต่เมนูโลว์แคลอรี่ แม้น้ำหนัก-สัดส่วนจะลดลง ทว่าก็ยังมีพุงมาคอยกวนใจตลอดเวลา นั่นอาจเป็นเพราะ 'เครื่องดื่ม' ที่คุณดื่มเป็นประจำอยู่รึเปล่า? ลองเช็กดู ยิ่งเป็นเครื่องดื่มต้องห้ามเหล่านี้ ยิ่งต้องตัดไฟแต่ต้นลม ก่อนที่หุ่นของคุณจะอ้วนเผละจนควบคุมไม่ได้!
น้ำส้ม 8 ออนซ์ = 110 แคลอรี่ / น้ำส้ม 1 ขวดใหญ่ = 250-500 แคลอรี่

เครื่องดื่มนางเอกที่หลายคนชอบ แต่หารู้ไม่ว่าดื่มมากๆ มันก็เป็นตัวการทำให้คุณอ้วน-ลงพุงได้เหมือนกัน คุณลองคิดดูสิ ถ้าในทุกมื้ออาหาร หรือในหนึ่งมื้ออาหารต่อวัน คุณซื้อน้ำส้มที่ให้ความสดชื่นมากกว่าแทนน้ำเปล่า ซึ่งอย่างในน้ำส้มคั้นหนึ่งขวด มันก็มาจากส้มหลายสิบลูกแล้ว (กว่าจะได้น้ำส้มเต็มขวด) และยังมีน้ำเชื่อม เกลือ น้ำตาล ที่บางร้านแอบใส่ลงไปอีก แบบนี้แคลอรี่ที่ได้จะสะสมเพิ่มขึ้นอยู่มากขนาดไหน? ฉะนั้นเปลี่ยนความคิดแบบเดิมๆ ที่ว่า 'น้ำส้มแก้วเดียวคงไม่ทำให้อ้วน' ทิ้งไปได้เลย ถ้าคุณไม่อยากลงพุงมากไปกว่านี้นะ จะหาว่าไม่เตือน…
อย่าคิดว่าการดื่มน้ำผลไม้จะช่วยรักษาหุ่นได้ หากคุณอยากคุมน้ำหนักจริงๆ เราแนะนำให้คุณทานผลไม้สดจะดีกว่าการคั้น ซึ่งส้ม 1 ผล จะให้พลังงานแค่ 50-62 แคลอรี่เท่านั้น อีกทั้งไฟเบอร์ในผลส้มยังทำให้คุณรู้สึกอิ่มได้นานขึ้น แถมกากใยยังช่วยทำความสะอาดลำไส้ให้สามารถดูดซึมสารอาหารได้ดี เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารเต็มที่ด้วย!
ดื่มน้ำส้มคั้น ใครว่าไม่อ้วน!
น้ำอัดลม 20 ออนซ์ = 240 แคลอรี่ / ขนาดกระป๋องขนาดปกติ = 280 แคลอรี่
เครื่องดื่มพลังงานสูง ทว่าไร้ประโยชน์ ที่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว มันทำจากน้ำตาลข้าวโพด! แค่ที่มาก็บอกอยู่แล้วว่ามันจะให้ความอ้วนเยอะขนาดไหน ยิ่งนำมาอัดกระป๋องแล้วก็ยิ่งดื่มง่าย บวกกับความซ่าที่ให้ความสดชื่น หลายคนเลยนิยมซื้อมาดื่มกันเวลากระหาย (น้ำตาลช่วยทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นได้นินา) โดยไม่รู้เลยว่าร่างกายพร้อมที่จะเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินนั้น 'สะสมเป็นไขมัน' อยู่ตามร่างกายเมื่อเบิร์นมาใช้ไม่หมด โดยเฉพาะตรงบริเวณรอบเอวที่ตอนนี้หลายคนกำลังกังวลหนักหนา ทำอย่างไรห่วงยางรอบเอวก็ไม่หายไปสักทียังไงล่ะ!
รู้แล้ว ก็เปลี่ยนนิสัยการดื่มซะใหม่ ตัดน้ำอัดลมออกจากเมนูประจำวันได้เป็นดีที่สุด แล้วหันมาดื่มน้ำเปล่าแทน จะดีต่อสุขภาพ และหุ่นสวยๆ ของคุณมากกว่านะ อย่างน้อยๆ ก็ช่วยคุมน้ำหนัก-ลดพุงหน้าท้องให้แบนราบได้เก๋กู๊ดด...ด!
น้ำอัดลมนี่แหละ ตัวเพิ่มพุงหน้าท้องเลย!
กาแฟ 20 ออนซ์ = 330 แคลอรี่ / กาแฟขนาดกลาง = 400 แคลอรี่
เครื่องดื่มอันตรายที่คนทำงานควรฟังให้ดี เพราะมันมีแต่จะทำให้เสียสุขภาพ และทำให้หุ่นสวยๆ ของคุณต้องพังลง ไม่ว่าจะเป็นครีม นม (ข้นหวาน) น้ำตาล และผงโรยหน้าทั้งหลายที่เติมความอร่อย นั่นล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดพุงหน้าท้อง และสร้างห่วงยางรอบเอวทั้งสิ้น จริงอยู่ที่ตัวกาแฟนั้นมีแคลอรี่น้อยมาก (ประมาณ 5 แคลอรี่/8 ออนซ์) แต่ด้วยการปรุงแต่งรสหลายๆ อย่าง เลยทำให้ปริมาณแคลอรี่ต่อแก้วมีเพิ่มขึ้น อย่างกาแฟขนาด 10 ออนซ์ (ใส่ครีมและน้ำตาล) ก็มีแคลอรี่มากถึง 120 แคลอรี่ แล้วคุณลองคิดดูสิว่า คุณดื่มไปทั้งหมดกี่แก้ว กี่แคลอรี่กัน?! ถึงแม้จะวันละแก้ว แต่ในหนึ่งสัปดาห์ คุณก็จะได้ไปทั้งหมดประมาณ 840-1,610 แคลอรี่ มันเยอะใช่เล่นใช่ไหมล่ะ
ทางที่ดี ถ้าคุณอยากดื่มกาแฟระหว่างพักเบรก หรือแก้ง่วงตอนบ่ายๆ ลองหันไปลองกาแฟดำดูก็ไม่เลวนะ หากคุณไม่สามารถทนกับรสขมของมันได้ ก็ให้ใส่ 'หญ้าหวาน' ลงไปช่วยก่อนก็ได้ แต่กาแฟเหล่านี้ไม่ควรให้หวาน-มันมากเกินไป หรือทานรสชาติหวานมันเข้มข้นในคราวเดียว เพราะจะทำให้ร่างกายปรับตัวตามระดับน้ำตาล และคาเฟอีนไม่ทัน ทำให้ไม่สามารถควบคุมปริมาณไขมัน และน้ำตาลที่ได้รับได้...
เปลี่ยนเป็นกาแฟดำ เซฟหุ่นสวยๆ จะดีกว่านะ =)
กาแฟ...เครื่องดื่มอันตรายไฮแคลอรี่
เครื่องดื่มชูกำลัง 1 กระป๋อง = 110-300 แคลอรี่
เครื่องดื่มเฉพาะกลุ่ม ที่อัดแน่นไปด้วยคาเฟอีน และน้ำตาลมากถึง 27-55 กรัม (6-13 ช้อนชา) ซึ่งหากใครที่ดื่มเป็นประจำคงไม่ต้องสงสัยเลยว่า พุงส่วนเกินนั้นมาจากไหน! ถึงคุณจะลด-ควบคุมอาหารยังไง ทว่าก็ยังได้รับน้ำตาลที่มีอยู่มากในเครื่องดื่มอยู่ดี และนั่นแทบจะไม่มีผลอะไรเลยกับการลดอาหารของคุณ (อาจเทียบเท่ากับอาหารส่วนที่คุณควบคุมไปด้วยซ้ำ) ฉะนั้นถ้าคุณยังขืนดื่มมันบ่อยๆ เราฟันธงได้เลยว่า ความอ้วนจะถามหาคุณในไม่ช้าแน่นอน ที่สำคัญไม่เพียงระดับน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น แต่มันจะสะสมไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นโรคเบาหวานในที่สุด!
เครื่องดื่มสีเหลืองอำพัน 1 แก้ว = 150 แคลอรี่
และสุดท้ายที่อยากจะบอก ต่อให้คุณจะลดน้ำหนัก ทานน้อยสักแค่ไหน แต่หากคุณยังดื่มแอลกอฮอล์อื่นๆ อยู่เป็นประจำ ก็ไม่ช่วยทำให้พุงน้อยๆ ของคุณยุบลงได้หรอกนะ ตรงกันข้ามแคลอรี่ที่สะสมเรื่อยๆ กับพฤติกรรมที่คุณไม่เคยออกกำลังกายเลย กลับทำให้พุงของคุณเห็นชัดมากขึ้น! หลายคนดื่มมากเกินไป ถึงขนาดดื่มแทนน้ำเปล่าได้เลย มันเลยมีคำภาษาอังกฤษเรียกพุงย้อยๆ ว่า 'Beer Belly' ซึ่งนอกจากจะมีโอกาสเพิ่มพุงสูงมากขึ้นแล้ว การดื่มแทนน้ำยังทำให้คุณอยากขับปัสสาวะบ่อยขึ้น (คายน้ำออกจากร่างกายอย่างรวดเร็ว) ตลอดจนเกิดอาการเหนื่อยง่าย และรู้สึกง่วงนอนด้วย…นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีกับร่างกายแน่ๆ
อย่างไรก็ดี ถ้าให้เลือก ก็ไม่ดื่มดีแล้ว.

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559

"เคล็ดลับ ลิเดีย ฟิตรูปร่างแบบสาวนักกีฬา"


มีโอกาสได้พูดคุยกับนักร้องสาวเสียงคุณภาพที่กำลังไปได้สวยกับงานแสดง
คุณลิเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา สาวสวยมากความสามารถที่มาพร้อมกับผลงานละครล่าเรื่องล่าสุด เสน่หาสัญญาแค้น เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าคุณลิเดียมีรูปร่างที่น่าอิจฉา และมีภาพลักษณ์ของสาวเล่นกีฬา วันนี้คุณลิเดียจึงมาแบ่งปันเคล็ดลับการดูแลรูปร่างของเธอกับเราค่ะ

ฟิตรูปร่างแบบสาวนักกีฬา
          แม้จะมีคิวงานที่ยุ่งแค่ไหน เธอก็จะแบ่งเวลาไว้สำหรับออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละประมาณ 2-3 วัน
          “สิ่งแรกเลยเดียจะออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอค่ะ เช่นการวิ่ง การชกมวย เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญ ให้รู้สึกเหนื่อยและหัวใจได้ทำงาน เดียไม่ชอบให้ตัวเองผอมจนดูเก้งก้าง คือต้องการให้รูปร่างเฟิร์มและมีกล้ามเนื้อ สิ่งที่เดียจะทำถัดมาคือการเล่นเวท เพื่อสร้างกล้ามเนื้อให้เราดูแข็งแรง”
          นอกเหนือจากการออกกำลังกายเพื่อการเผาผลาญและสร้างกล้ามเนื้อแล้ว อีกหนึ่งเคล็ดลับในการดูแลรูปร่างให้สมบูรณ์แบบของคุณลิเดียคือ การสร้างความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ
          “พอเราเล่นเวทเพื่อสร้างกล้ามเนื้อแล้ว เราไม่ต้องการให้กล้ามเนื้อของเราใหญ่ เดียจะเปลี่ยนมาเล่นโยคะ เพราะจะช่วยเรื่องความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ เมื่อเล่นโยคะ จะรู้สึกได้เลยว่ากล้ามเนื้อถูกยืด ซึ่งเดียจะเล่นโยคะสลับกับชกมวย เพราะการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอช่วยให้เราได้ใช้ร่างกายในทุกส่วน แล้วก็สลับกลับมาเล่นโยคะเพื่อสร้างความยืดหยุ่น สองอย่างนี้ทำให้เกิดความสมดุลค่ะ” 
 

กินให้เผาผลาญ

           “เดียจะกินมื้อเล็กๆ แต่กินบ่อยๆ ค่ะ บางวันก็กิน 4-5 มื้อ มันดีกว่าการกินอาหารมื้อใหญ่ๆ เพราะการที่เรากินเยอะ ร่างกายเราจะเชื่องช้าเพราะระบบย่อยอาหารต้องทำงานหนัก แต่ถ้าเรากินมื้อเล็กๆ ถี่ๆ ระบบย่อยอาหารจะทำงานไม่หนัก แต่จะได้ทำงานตลอด เป็นวิธีการใช้พลังงานอีกทางหนึ่ง เพราะการย่อยอาหาร ร่างกายก็ได้เผาผลาญไปด้วยเช่นกัน เดียว่ากินแบบนี้ควบคุมน้ำหนักได้ดีกว่าด้วยค่ะ”
            หลังจากได้พูดคุยกับคุณลิเดีย เราพบว่าเธอเป็นสาวเก่งที่มีวินัยเรื่องการดูแลตัวเองอย่างมาก และเธอยังบอกกับเราถึงสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการทำงานของเธอคือ เรื่องการจัดสรรเวลา โดยการแบ่งเวลาสำหรับการทำงานกับการดูแลตัวเองและคนในครอบครัวให้สมดุล อย่าหักโหมเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากจนเกินไป
             เท่านี้ไม่ว่าจะทำงาน ดูแลสุขภาพ หรือรักษารูปร่าง ก็จะสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จค่ะ
ที่มา นิตยสารชีวจิต

"เคล็ดลับสาวหุ่นจ้ำม่ำ 75 กก.เหลือ 53 กก."


เราไม่สามารถกินคลีนได้ทุกมื้อ แต่สามารถหาตัวเลือกที่ดีที่สุดได้ในมื้อนั้นๆ”
งามแข อมาตยกุล นักศึกษา เด็กสาวเจ้าของหุ่นจ้ำม่ำคนนี้ชอบกินมื้อเย็นวันละ 2 ครั้ง เวลาผ่านไปไม่นานก็กลายเป็นคนตุ๊ต๊ะของจริง ยิ่งเป็นนักศึกษากิจกรรมเยอะ เลิกดึกเกือบทุกวัน เลยกินมากขึ้นถึง 5 มื้อต่อวันจนน้ำหนักพุ่งแตะ 75 กิโลกรัม เริ่มใช้ชีวิตยากขึ้นเรื่อยๆ โดนแซวแรงๆ เสียความมั่นใจ โดนคำล้อแบบนี้จึงต้องฮึดสู้ เปลี่ยนตัวเอง ตั้งเป้าจะลดให้ได้ 20 กิโลกรัม แล้วเธอก็ทำสำเร็จจริงๆ
จุดเปลี่ยน
เวลาใส่เสื้อนิสิตเหมือนกระดุมเริ่มปริออก อึดอัดทั้งตัว จากที่ชอบเล่นเทนนิส กลับเล่นได้น้อยลงเพราะวิ่งไม่ไหว ช่วงที่น้ำหนักมากจะปวดท้องประจำเดือนจนลุกไม่ขึ้น รวมทั้งปวดไมเกรนด้วย เสื้อผ้าหาซื้อใส่ยากสุดๆ แล้ววันหนึ่งก็ถึงจุดพีก คือถูกเพื่อนผู้ชายแซวเชิงเปรียบเทียบเรากับเสาคอนกรีตของตึกเรียน จึงตัดสินใจแน่วแน่เพื่อจะผอมให้ได้
Before 75 กก.
วิธีการ
ช่วงเดือนแรกใช้วิธีไดเอตที่เรียกว่า ‘Fast 5’ ในหนึ่งวันกินได้แค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้น แต่จะกินอะไรก็ได้ (คือต้องงดข้าวเย็นเด็ดขาด) วิ่งรอบสวนสาธารณะใกล้บ้านสัปดาห์ละ 5 วัน ทำวิธีนี้มาสักพักรู้สึกว่าร่างกายเริ่มไม่ตอบรับกับสิ่งที่ทำ จึงกินยาลดความอ้วน แต่พอหยุดกินน้ำหนักพุ่งกระฉูด จึงคิดวิธีลดใหม่ให้เหมาะกับตัวเอง เริ่มเปลี่ยนมาเล่นโยคะช่วงเดือนที่สอง น้ำหนักค่อยๆ ลดเหลือ 60 กิโลกรัม จากนั้นหยุดเล่นโยคะแล้วกลับมาวิ่งและตีเทนนิส พร้อมกับคุมอาหารแบบเคร่งครัดมากๆ เน้นกินคลีน พอเข้าเดือนที่แปดน้ำหนักค้างอยู่ 55 กิโลกรัม จึงลองกินยาลดอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้ผล น้ำหนักขึ้นมาอีก 4 กิโลกรัม เลิกกินยาแล้วเล่น T25 เล่นเวท เปลี่ยนการกินคลีนมาเป็นเลือกกินแทน จะได้ไม่รู้สึกกดดันตัวเองมากไป จากนั้นน้ำหนักก็ลดลงมาเรื่อยๆ และคงตัวอยู่ที่ 53-54 กิโลกรัม
ผลที่ได้รับ
จากที่โดนล้อได้พลิกตัวเอง กลายเป็นผู้หญิงที่สดใส คล่องตัว รูปลักษณ์ดีขึ้น สุขภาพดี ไม่ป่วยอีกแล้ว และสิ่งที่สำคัญกว่าความผอมสวยก็คือความสุข ความมั่นใจ และพลังด้านบวกที่ได้รับหลังเปลี่ยนแปลงตัวเอง รักตัวเองมากขึ้น
After 53 กก.
Tips

กินมื้อเช้าไม่หนักมากเพราะกิจกรรมไม่เยอะ อีกแป๊บก็เที่ยงแล้ว กลางวันกินข้าวปกติแต่สัดส่วนของอาหารจะเป็นผักครึ่งหนึ่ง โปรตีนกับคาร์โบไฮเดรตอีกครึ่ง ตอนเย็นเน้นปลา ไก่ ผักที่ย่อยง่าย ไม่ได้คิดว่ากำลังลดความอ้วนอยู่ตลอดเวลา เพราะมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้วที่เราต้องดูแลตัวเอง เราไม่สามารถกินคลีนได้ทุกมื้อ แต่เราสามารถหาตัวเลือกที่ดีที่สุดได้ในมื้อนั้นๆ ซึ่งก็ถือว่าเราทำดีที่สุดแล้ว

ที่มา  Women’s Health Thailand
นิตยสาร Health Thailand ฉบับเดือนพฤษภาคม 2558 

"ตะลึง สาวไทยศัลยกรรมพลิกชีวิต"


เพียงแค่รายการ Let Me in Thailand ออกอากาศครั้งแรกจบไปเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ทำเอาผู้ชมทั่วประเทศฮือฮาอ้าปากค้าง หลายคนน้ำตาไหลด้วยความดีใจไปกับการเปลี่ยนแปลงของสาวไทยคนแรกที่เป็นผู้ชนะของรายการ ได้รับโอกาสเปลี่ยนโฉมจากการศัลยกรรม
หลิน วงศ์ตะวัน ภานุประทีป หญิงสาววัย 23 ปี จากหาดใหญ่ ที่ก่อนหน้าจะเดินทางมาสมัครร่วมรายการ เธอต้องทนทุกข์กับปัญหาหน้าตาของตัวเอง ที่คางยื่น ฟันเหยิน ทำให้เวลาทานอาหารลำบาก ถูกเพื่อนล้อตลอดเวลาว่าเป็นแก้วหน้าม้า จนหมดความมั่นใจในตัวเอง ร้องไห้กับแม่ตลอด ไม่กล้าสบตาผู้คน และปัญหาที่หนักไปกว่านั้นคือ ไปสมัครงานที่ไหนก็ไม่มีใครรับ จนกระทั่งทราบข่าวว่าทางรายการ Let me in Thailand เปิดรับสมัคร เธอจึงตัดสินใจขอยืมเงินข้างบ้านเพื่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ก่อนที่เรื่องราวชีวิตของเธอจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต โดยเธอบอกว่า
“หลินมาร่วมรายการนี้เพราะหลินอยากทำงาน อยากมีเงิน แล้วช่วยเหลือพ่อแม่ เพื่อตอบแทนที่ท่านเลี้ยงเรามา ก่อนหน้านี้หลินไปสมัครงาน พอเขาเห็นหน้าตาหลินก็ไม่รับแล้ว แต่หลังจากทำศัลยกรรมแล้ว หลินก็คงใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมค่ะ หลินอยากให้กำลังใจทุกคนที่มีปัญหา ไม่ว่าเราจะมีหน้าตาหรือสถานะแบบไหนหลินอยากให้สู้ อย่ายอมแพ้ ก่อนหน้านี้หลินก็ไม่ยอมแพ้ ไปสมัครงานกี่ครั้งก็ไม่มีใครรับสักครั้ง แต่หลินไม่หยุดหางาน ยอมรับว่าก่อนหน้านี้เราไม่มีความมั่นใจ หลินเชื่อว่าทุกคนต้องมีโอกาสอยู่แล้ว แต่โอกาสมันต้องใช้เวลา สุดท้ายต้องขอบคุณรายการ Let Me In Thailand ที่ให้โอกาศหลินในการพลิกชีวิตครั้งนี้ ขอบคุณที่ทีมงานดูแลหลินดีมากๆ ตั้งแต่ได้รับคัดเลือก จนกระทั่งผ่าตัดกลับมา ขอบคุณที่ทำให้คนหนึ่งเปลี่ยงแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งหน้าตาและบุคลิกภาพ รวมถึงการแต่งกาย มีพื้นที่ยืนในสังคม หลินจะใช้โอกาสที่ได้มาดูแลครอบครัวอย่างที่ตั้งใจไว้ให้ดีที่สุด ขอบคุณจริงๆค่ะ” ซึ่งปัจจุบันหลังได้รับการแก้ไขใบหน้า เธอก็ได้งานทำแล้ว
ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิต
จำหลินได้มั้ยค่ะ
​ทั้งนี้รายการ Let Me in Thailand เป็นรายการยอดนิยมของประเทศเกาหลี มีผู้คนมากมายที่ผ่านการคัดเลือกจากรายการ และทำให้คนทั้งโลกฮือฮากับการเปลี่ยนแปลงของผู้เข้าร่วมรายการ ล่าสุด ช่องเวิร์คพอยท์ ซื้อลิขสิทธิ์รายการมาผลิตเอง ภายใต้ชี่อ Let Me In Thailand รายการศัลยกรรมที่จะทำให้ความฝันของคนไทยเป็นจริง ซึ่งเนื้อหารายการไม่ได้ส่งเสริมให้คนทำศัลยกรรมเพื่อให้แค่ดูดีแค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่เป็นการช่วยเหลือให้คนที่มีความผิดปกติทางด้านบุคลิกภาพและหน้าตาที่เป็นปัญหาในการดำรงชีวิต ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ในสังคมอย่างปกติ โดยทางรายการจะช่วยแก้ปัญหาให้คุณบนพื้นฐานของความเป็นจริง นำเสนอในรูปแบบ Reality (เรียลลิตี้) และเป็นครั้งแรกของการร่วมมือทางศัลยกรรมระหว่างทีมแพทย์ไทยและทีมแพทย์เกาหลี ออกอากาศทุกคืนวันเสาร์ เวลา 20.15 น. ทางช่องเวิร์คพอยท์.
ดีใจที่ได้โอกาสจากทางรายการ Let Me In Thailand
ดีใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่

"ปวดคอแบบไหนต้องไปหาหมอ"


สังคมก้มหน้า เรื่องอาการปวดคอปวดไหล่ ใครใคร้ไม่เคยเป็น 

ทว่าการปวดของร่างกายเป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า เราละเลยที่จะใส่ใจร่างกายหรือเปล่า เพราะบางครั้งการนิ่งนอนใจไม่ใช่สิ่งดี 

เพจ "หมอเฉพาะทางบาทเดียว" ห้องตรวจกระดูก อธิบายถึงกายวิภาคของคอเราว่า กระดูกต้นคอคนเรามีทั้งหมด 7 ชิ้น ต้องแบกรับน้ำหนักของศีรษะอย่างน้อง 3 กิโลกรัม ซึ่งถ้าคออยู่ในแนวตั้ง น้ำหนักของศีรษะจะเฉลี่ยไปที่กระดูกชิ้นอื่นเท่าๆ กัน แต่ถ้าเราอยู่ในท่าก้ม น้ำหนักจะเทไปที่กระดูกต้นคอมากเป็นพิเศษ ทำให้เกิดปัญหากระดูกต้นคอเสื่อม หมอนรองกระดูกยุบทรุดตัว กดทับเส้นประสาทได้ จะหนักมากหนักน้อยแตกต่างกันไป 

ถ้าเป็นแล้วหายเอง ไม่เป็นไร แต่ถ้าเกิดอาการดังต่อไปนี้

1.ปวดเรื้อรังนานเกิน 3 เดือน 2.ปวดไม่นาน แต่มีอาการชาไหล่ ชาแขน ชานิ้ว 3.ปวดคอมากๆ ตอนเช้าหลังตื่นนอน และอาการดีขึ้นในตอนเย็น โดยอาการเป็นอยู่บ่อยๆ ไม่หายขาด 4.ปวดคอร่วมกับปวดขา โดยเฉพาะเวลาเดินเร็ว 5.ปวดมากขึ้นเมื่อพยายามเอี้ยว เอียงคอ หรือไม่สามารถหันศีรษะได้ตามปกติ

พบแพทย์เป็นดีที่สุด!

ที่มา นสพ.มติชน

วันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559

Nifty Test มิติใหม่ของการตรวจโรคพันธุกรรมทารกในครรภ์



  • ความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ของสามีภรรยาหรือคู่แต่งงาน หลังจากทราบว่าทั้งสองกำลังจะเป็นพ่อคนหรือแม่คนนั้น ย่อมหนีไม่พ้นคำถามที่ว่าลูกน้อยที่กำลังจะลืมตาขึ้นมาดูโลกเป็นลูกชายหรือลูกสาว จะมีหน้าตาน่ารักเหมือนพ่อกับแม่หรือไม่ นอกจากสองคำถามนี้แล้ว ประเด็นเรื่องสุขภาพของทารกในครรภ์ เช่นมีพัฒนาการที่สมบูรณ์แข็งแรง มีอวัยวะครบถ้วนและปราศจากโรคทางพันธุกรรมหรือไม่ย่อมเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้เราสามารถติดตามการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์ได้อย่างใกล้ชิด เช่นการทำอัลตร้าซาวด์แบบธรรมดาหรือแบบ 4 มิติ เพื่อให้ทราบเพศของทารกและในกรณีเดียวกันนี้ เราสามารถติดตามพัฒนาการของอวัยวะหรือแม้แต่ลักษณะใบหน้าของทารกได้ อย่างไรก็ตามการทำอัลตร้าซาวด์เพียงอย่างเดียวไม่สามารถตรวจสอบลักษณะโรคทางพันธุกรรมของทารก แม้แต่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอัลตราซาวด์ ก็ไม่สามารถตรวจความผิดปกติของอวัยวะต่างๆ ที่บ่งบอกถึงความน่าจะเป็นของโรคได้ทั้งหมด จึงต้องมีการเจาะน้ำคร่ำเพื่อตรวจสอบความผิดปกติที่อาจจะเกิดขึ้น สภาพสังคมในเมืองที่เปลี่ยนแปลงไปส่งผลให้คู่สามีภรรยาแต่งงานช้าลง เป็นสาเหตุให้เราพบทารกกลุ่มดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) เพิ่มขึ้น ในประเทศไทยมีทารกดาวน์เกิดใหม่ประมาณ 1000 รายต่อปี สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง ทำให้ทารกดาวน์มีความพิการได้แก่ หัวใจและลำไส้อุดตัน มีลักษณะความผิดปกติของศีรษะและใบหน้า มีแขนขาสั้น หนังที่คอหนา และมีระดับสติปัญญา (IQ) ระหว่าง 20-50 หรือภาวะปัญญาอ่อน ส่วนใหญ่ทารกมักจะเสียชีวิตในระยะแรกเกิดหรือมีอายุไขเฉลี่ย 40 ปี 


  • การตรวจหาความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกในครรภ์ ปัจจุบันนิยมใช้วิธีการเจาะน้ำคร่ำหรือวิธีการเก็บเซลล์ตัวอย่างรก ซึ่งสองวิธีนี้ต้องเข้ารับการตรวจโดยสูตินรีแพทย์เท่านั้นเปรียบเสมือนการทำผ่าตัดเล็กและต้องอาศัยการวิเคราะห์ผลจากผู้เชี่ยวชาญในการตรวจวิเคราะห์โครโมโซม ประสบการณ์ที่ผ่านมาคุณแม่ตั้งครรภ์อายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไปที่มารับการตรวจด้วยวิธีเจาะน้ำคร่ำ จะตรวจพบเพียงร้อยละ 25 ของทารกดาวน์ทั้งหมดเท่านั้น ถึงแม้จะใช้วิธีอื่นตรวจร่วมด้วยเช่นการเจาะหาสารชีวเคมีในเลือดแม่จะพบทารกดาวน์ได้เพียงร้อยละ 60 ซึ่งหมายความว่าคุณแม่ที่เจาะเลือดเพื่อตรวจสารชีวเคมีในเลือดร่วมกัน 3 หรือ 4 ชนิด ก็ยังไม่สามารถคัดกรองทารกดาวน์ได้แม่นยำ นอกจากนั้นยังมีการตรวจผิดว่าเป็นโรคทั้งที่ไม่เป็น ประมาณร้อยละ 5 ทำให้คุณแม่ต้องไปเจาะน้ำคร่ำโดยไม่จำเป็น 

  • การตรวจนิฟตี้ หรือ NIFTY test คืออะไร ? 

  • การทดสอบนิฟตี้ (NIFTY: Non-Invasive Fetal TrisomY test) คือวิธีการตรวจกรองหาลักษณะความผิดปกติของโครโมโซมทารกในครรภ์มารดาโดยไม่ต้องเจาะน้ำคร่ำ เพียงแค่เจาะเลือดคุณแม่เพียง 10 มิลลิลิตรก็สามารถตรวจลักษณะทางพันธุกรรมของลูกได้ วิธีดังกล่าวนี้คุณแม่สามารถเข้ารับการตรวจได้เมื่อมีอายุครรภ์ตั้งแต่ 10 สัปดาห์ขึ้นไป การตรวจอาศัยหลักการวิเคราะห์หาลำดับของสารพันธุกรรมเพื่อตรวจสอบการเกินของโครโมโซมคู่ที่ 21 คู่ที่ 18 และ 13 และนอกจากนี้ยังสามารถตรวจความผิดปกติอื่นๆ ได้อีกเช่นความผิดปกติของโครโมโซมเพศ 

  • การตรวจนิฟตี้ให้ข้อมูลความผิดปกติของโรคพันธุกรรมชนิดใดได้บ้าง? 

  • เบื้องต้นการตรวจนิฟตี้จะเน้นกลุ่มความผิดปกติที่พบบ่อยคือ การมีโครโมโซมเกินมา 1 แท่ง เช่น กลุ่มดาวน์ซินโดรม (Down syndrome) โครโมโซมคู่ที่ 13 เกินมา 1 แท่ง กลุ่มเอ็ดเวิร์ดซินโดรม (Edward’s Syndrome) โครโมโซมคู่ที่ 18 เกินมา 1 แท่ง และกลุ่มพาทัวซินโดรม (Patau syndrome) โครโมโซมคู่ที่ 13 เกินมา 1 แท่ง นอกจากนั้นยังสามารถตรวจโรคทางพันธุกรรมอื่นๆ เช่นความผิดปกติของโครโมโซมเพศ หรือแม้แต่การตรวจเพศทารกในครรภ์ 

  • การตรวจนิฟตี้มีหลักการอย่างไร? 

  • เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ประมาณ 8 สัปดาห์ลูกน้อยจะมีพัฒนาการสร้างอวัยวะที่สมบูรณ์และเมื่อถึงสัปดาห์ที่ 10 หรือประมาณ 2 เดือนครึ่ง อวัยวะภายในของทารกจะทำงานเพิ่มขึ้น ทารกในครรภ์ได้รับสารอาหารและขับของเสียผ่านทางสายรกที่เชื่อมต่อกับคุณแม่ แต่ระบบเลือดของแม่กับลูกไม่ได้แลกเปลี่ยนสารอาหารโดยตรงแต่จะมีเยื่อบางๆ (placental blood barrier) ในการทำหน้าที่เพื่อป้องกันเซลล์ของลูกและแม่ไม่ให้พบกันและต่อต้านกันเพราะเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันของแม่จะตรวจสอบว่าเซลล์ของทารกเป็นสิ่งแปลกปลอม เยื่อบางๆ นี้ยอมให้สารพันธุกรรม (DNA) ของลูกผ่านเข้าไปในระบบเลือดของแม่ได้ ด้วยเหตุนี้เพียงเราเก็บเลือดของแม่ที่อายุครรภ์ 10 สัปดาห์ขึ้นไป จะสามารถตรวจหาโรคทางพันธุกรรมจาก DNA ของลูกน้อยที่ปนออกมาในเลือดของคุณแม่ในระหว่างตั้งครรภ์ได้ โดยคุณแม่ไม่จำเป็นต้องเจาะน้ำคร่ำ ซึ่งมีความเสี่ยงและเจ็บตัวมากกว่า 

  •  

  • การตรวจนิฟตี้มีความแม่นยำกว่าการตรวจน้ำคร่ำหรือไม่? 

  • ข้อมูลจากการวิจัยทางคลินิคพบว่า การตรวจนิฟตี้มีความไวในการตรวจหาโรคถึง 99% เทียบกับวิธีเจาะน้ำคร่ำร่วมกับการวิเคราะห์หาสารเคมีในเลือดที่มีความไวเพียง 60% จากการทดสอบในอาสาสมัครหญิงตั้งครรภ์ 112,000 คน นอกจากนั้นยังพบว่าอัตราการตรวจผิดพลาดว่าเป็นโรคทั้งที่ไม่เป็นเหลือเพียง 0.1% เทียบกับวิธีเจาะน้ำคร่ำที่มีความผิดพลาดสูงถึง 5% ในปัจุบันมีคุณแม่ตั้งครรภ์มากกว่า 400,000 คนทั่วโลกเลือกวิธีการตรวจนิฟตี้ในการหาความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารก 

  • คุณแม่ตั้งครรภ์ประเภทไหนบ้างที่แนะนำให้ทำการทดสอบนิฟตี้? 

  • วิธีการทดสอบนิฟตี้เป็นวิธีที่ใหม่ซึ่งหลายคนไม่คุ้นเคยและยังมีค่าใช้จ่ายสูง ข้อมูลในแต่ละข้อต่อไปนี้อาจจะทำให้เราเลือกพิจารณาความเหมาะสมได้มากขึ้นว่า ควรเข้ารับการตรวจด้วยวิธีนิฟตี้หรือไม่ หากท่านเป็นคุณแม่ที่มีคุณสมบัติต่อไปนี้
  1. คุณแม่ตั้งครรภ์มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป
  1. แพทย์ตรวจพบความผิดปกติของทารกที่อาจมีความเสี่ยงต่อโรคพันธุกรรมด้วยวิธีอัลตร้าซาวด์
  1. ต้องการตรวจยืนยันผลความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกจากการตรวจครั้งแรกด้วยวิธีอื่น
  1. มีสภาวะเสี่ยงที่ไม่แนะนำให้ทำตรวจน้ำคร่ำ เช่น ภาวะแท้งบุตรง่าย ภาวะรกเกาะต่ำหรือรกของทารกนั้นมาเกาะอยู่บริเวณส่วนล่างของมดลูกใกล้กับปากมดลูก หรือมารดาติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี (HBV, HCV infection)
  1. มีประวัติความผิดปกติทางพันธุกรรมของทารกชนิด trisomy จากการท้องครั้งก่อน
  1. เข้ารับการรักษาภาวะมีบุตรยากด้วยวิธีการเด็กหลอดแก้ว (IVF) หรือมีภาวะแท้งซ้ำซ้อน
  1. มีประวัติครอบครัวหรือญาติพี่น้องป่วยเป็นโรคที่ผิดปกติทางพันธุกรรม
  • การตรวจนิฟตี้ต้องเตรียมตัวอย่างไร มีที่ไหนรับตรวจบ้าง? 

  • การตรวจกรองด้วยวิธีนิฟตี้ เหมือนกับการตรวจสุขภาพทั่วไป ไม่จำเป็นต้องงดน้ำหรืออาหาร ทีมแพทย์จะซักประวัติและให้ลงนามในเอกสารในการตรวจ จากนั้นจะเจาะเลือดคุณแม่ 10 มิลลิลิตร (ประมาณ 3 ซ้อนโต๊ะ) ตัวอย่างเลือดจะถูกนำส่งไปวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการ และจะทราบผลภายใน 10 วัน จากนั้นแพทย์จะนัดมาฟังผลและให้คำปรึกษา สถาบันทางการแพทย์ที่ให้บริการตรวจมีทั้งหน่วยงานรัฐบาลหรือเอกชน คุณแม่ท่านใดสนใจสามารถหาข้อมูลได้จากสื่อสังคมออนไลน์หรือเอกสารเชิญชวนในระหว่างขั้นตอนฝากครรภ์ 

  • การมีครอบครัวที่สมบูรณ์เป็นความสุขพื้นฐานของมนุษย์ ในบางคู่สามีภรรยาที่ประสบปัญหาการมีบุตรยากหรือเมื่อมีแล้วทารกเกิดความผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกิดจากพันธุกรรม ย่อมสร้างภาระต่อการดูแลบุตร ธิดา ในอนาคต ถ้าเราสามารถตรวจพบโรคได้ในระยะแรกของการตั้งครรภ์ย่อมจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว คุณพ่อและคุณแม่สามารถปรึกษากันได้ว่าจะยอมรับภาระเลี้ยงดูลูกที่มีความพิการในอนาคตหรือไม่ สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านครับ สุดท้ายผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าบทความฉบับนี้คงเป็นประโยชน์กับสามีภรรยา คู่แต่งงานที่วางแผนจะมีทายาทในอนาคต สำหรับคราวหน้า พบกับสาระน่ารู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีช่วยในการมีบุตรและการตรวจโรคทางพันธุกรรมก่อนการฝังตัวของทารกในครรภ์ครับ
อาจารย์ ดร.คณิสส์ เสงี่ยมสุนทร 
ภาควิชาชีวเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล




"น้ำเปล่า เทพเจ้าการลดน้ำหนัก"


น้ำเปล่า เทพเจ้าการลดน้ำหนัก
นักวิจัยมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมแห่งอังกฤษ ได้ประกาศว่า ต้องยกย่องว่า น้ำเปล่าเป็นพระเจ้าของการลดน้ำหนักของคนอ้วนทั่วไป หากดื่มน้ำก่อนอาหาร มื้อละ 500 ซีซี จะสามารถลดน้ำหนักลงได้ ภายในเวลา 3 เดือน ถึง 4 กิโลกรัมเศษ
นักวิจัยได้พบในการศึกษา ลองให้คนที่เป็นผู้ใหญ่ที่อ้วนเกินดื่มน้ำก่อนกินอาหารสักครึ่งชั่วโมง ปริมาณ 500 ซีซี ในเวลา 3 เดือน จะเห็นผลทันตาว่าน้ำหนักลดไปเอง 4.3 กิโล มันเป็นวิธีลดความอ้วนอย่างง่าย แต่มีผลมหาศาล คณะนักวิจัยได้สรุปว่า น้ำที่ดื่มนั้นควรจะเป็นน้ำธรรมดา ไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำพิเศษ อย่างเช่น น้ำที่มีแก๊สคาร์บอเนตโซดา หรือเครื่องดื่มที่มีรสหวานแต่อย่างใด.

ที่มา นิตยสาร Men’s Health ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2558

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

"แก่นตะวันสมุนไพรสรรพคุณลดความอ้วน"


หลายคนชอบซื้อยาลดความอ้วนไปรับประทาน จนเกิดอาการแพ้ยาและเกิดอันตรายในหลากหลายด้าน วันนี้มีสมุนไพรที่มีสรรพคุณลดความอ้วนได้มาแนะนำให้เราได้รู้จักกัน ชื่อ “แก่นตะวัน” ชื่อนี้อาจจะมีใครคุ้นหูบ้าง หรือบางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน
แก่นตะวัน เหมือนพืชหัวทั่วไปที่มีแป้งและน้ำตาล แต่แป้งและน้ำตาลไม่เหมือนกับพืชหัวชนิดอื่น เพราะไปเหมือนแป้งและน้ำตาลของบัวหิมะและชิโครี่(Chicory) ที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ด้วยเอนไซม์ในร่างกาย จึงไม่จัดเป็นแหล่งพลังงานและไม่เพิ่มปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือด อย่างไรก็ตามจุลินทรีย์ในลำไส้ใหญ่สามารถย่อยได้จึงมีประโยชน์ในการจัดระบบนิเวศในร่างกายให้ดีขึ้น นอกจากนี้แก่นตะวันยังมีไฟเบอร์ เลยทำให้ระบบขับถ่ายยิ่งดีขึ้นไปอีก คนที่เป็นเบาหวานกินได้เพราะไม่ทำให้น้ำตาลเพิ่ม แม้ภายนอกหน้าตาจะเหมือนขิง แต่ความจริงมีสรรพคุณมากมายลองไปดูกันเลย
1. ลดความอ้วน
อินนูลิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของหัวแก่นตะวัน เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ (Soluble Fiber) ซึ่งร่างกายของเราไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยได้
- ใยอาหารที่ละลายน้ำได้ของอินนูลิน เมื่ออยู่ในกระเพาะอาหาร จะมีลักษณะเป็นเจล ทำให้อาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น ( delay gastric emptying time) จึงรู้สึกอิ่ม ทานอาหารได้น้อยลง
- อินนูลินซึ่งเป็นใยอาหารจะดูดซับน้ำตาลและไขมันในอาหารที่เราทานเข้าไป ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลและไขมันในระบบทางเดินอาหารได้น้อยลง ร่างกายจึงได้รับพลังงานน้อยลง
2. ลดน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวาน
- อินนูลิน จะดูดซับน้ำและน้ำตาล จนมีลักษณะเป็นเจล ทำให้ร่างกายดูดซึมน้ำตาลได้ช้าลงและน้อยลง
- ร่างกายของเรา ไม่มีเอนไซม์ที่จะย่อยอินนูลิน ดังนั้นเมื่อเราทานหัวแก่นตะวัน เข้าไป จึงไม่ไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด บวกกับเมื่อทานแก่นตะวันจะรู้สึกอิ่มจากคุณสมบัติการเป็นใยอาหารของอินนูลิน ทำให้ทานอาหารอย่างอื่นได้น้อยลง ทำให้ร่างกายได้รับน้ำตาลน้อยลง
3. ลดคอเลสเตอรอลในเลือด อินนูลินดูดซับไขมันในอาหารที่เราทานเข้าไป ทำให้ร่างกายดูดซึมไขมันได้น้อยลง และน้ำดีซึ่งผลิตจากตับ มีคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบ มีบทบาทในกระบวนการย่อยไขมันในลำไส้เล็ก ซึ่งปกติจะถูกร่างกายดูดซึมและนำกลับมาใช้ใหม่ได้อีก แต่เมื่อมันถูกดูดซึมไปโดยใยอาหารละลายน้ำ (อินนูลิน) มันก็จะกลายเป็นของเสียถูกขับออกจากร่างกาย ทำให้ตับต้องผลิตน้ำดีใหม่ โดยการดึงคอเลสเตอรอลในเลือดมาผลิตเป็นน้ำดีระดับคอเลสเตอรอลในเลือดจึงลดลง
4. ลดความเสี่ยงความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และหลอดเลือด
โรคหัวใจที่พบบ่อยเกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจตีบตัน ทำให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด ซึ่งเกี่ยวข้องกับระดับคอเลสเตอรอลและโฮโมซิสเตอีน(Homocysteine)ในเลือด และเราก็ทราบว่าแก่นตะวันช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ ดังนั้นจึงลดความเสี่ยงภาวะหัวใจขาดเลือดได้
5. ลดอาการท้องผูก
ด้วยคุณสมบัติของใยอาหาร ซึ่งจะเพิ่มน้ำหนักของอุจจาระ ทำให้อุจจาระชุ่มน้ำ นอกจากนี้ กรดไขมันสายสั้น (Short-chain fatty acid) ซึ่งผลิตโดยไบฟิโดแบคทีเรีย (Bifidobacteria) จะช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ทำให้ขับถ่ายง่ายขึ้นด้วย
6. ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่
- การขับถ่ายที่ดีขึ้น ช่วยลดการสะสมของเสีย หรือสารพิษก่อมะเร็งในลำไส้ใหญ่
- อินนูลิน และ FOS จากแก่นตะวันเป็นอาหารให้กับจุลินทรีย์ที่ดีต่อสุขภาพ เช่น Lactobacillus , Bifidobacteria ทำให้จุลินทรีย์ดังกล่าว มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นภายในลำไส้ใหญ่
7. เพิ่มการดูดซึมแคลเซียม
สภาวะความเป็นกรดในลำไส้ใหญ่ จากการได้รับอินนูลินและFOS ทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายเพิ่มมากขึ้น ลดความเสี่ยงโรคกระดูก
8. เพิ่มการผลิตวิตามินบางชนิด
Bifidobacteria สามารถผลิตวิตามิน B1 , B2 , B6 , B12 , nicotinic acid และ folic acid อินนูลินและ FOS จากแก่นตะวันทำให้จำนวน Bifidobacteria มากขึ้น ร่างกายจะได้รับวิตามินเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
9. หัวแก่นตะวัน ใช้เสริมในอาหารสัตว์
มีผลต่อการเจริญเติบโต ลดจุลินทรีย์ที่เป็นโทษในระบบทางเดินอาหาร สร้างภูมิคุ้มกัน ทำให้ลดการใช้สารเคมีปฏิชีวนะและมูลสัตว์มีกลิ่นเหม็นน้อยลง