วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"ช่วงเทศกาลต้องระวัง 5 อวัยวะพัง"


เข้าสู่ช่วงเวลาแห่งความสุขกับเทศกาลต่างๆหลายคนเตรียมพร้อมที่หยุดยาว ปาร์ตี้กันอย่างสนุกสนาน ดริ้งกันอย่างเต็มที่ แต่คุณก็ต้องระวังไว้ว่าสุราร้ายยิ่งกว่าเสือ ไม่เชื่ออ่านบรรทัดต่อจากนี้ไปแล้วคุณจะหนาว...
1.สมอง
ดื่มคืนวันอาทิตย์ พอถึงวันจันทร์ คุณเริ่มโทษตัวเองที่ไม่ยอมหยุดดื่มซะที (รู้ตัวอีกทีก็สายไปแล้ว) เมื่อค็อกเทลเริ่มเข้าไปป่วนระบบต่างๆ ในร่างกาย ที่โดนไปเต็มๆ ก็คือกาบาและกลูต้าเมต (สารสื่อประสาทที่คอยควบคุมชีพจร) ส่งผลให้คุณดื่มหนักขึ้นเรื่อยๆ
คุณจะมีอาการกระวนกระวายต่ออีกนานหลังจิบสุดท้าย เนื่องจากสารเคมีในสมองเสียสมดุลไปแล้วบวกกับเซลล์ประสาทเสียหายอันเป็นผลมาจากฤทธิ์แอลกอฮอล์ รวมไปถึงเซลล์สมองโดนทำลายเพราะอดหลับอดนอน ทิ้งผลลัพธ์ไว้อย่างเดียวก็คือ อาการเมาค้างอย่างหนัก เราไม่ได้หมายถึงอาการขาดน้ำเท่านั้น และเลิกคิดได้เลยกับการกระดกน้ำเมาเข้าปากเพื่อถอนแอลกอฮอล์ที่ค้างในร่างกาย เพราะยิ่งดื่มเข้าไปมากเท่าไร อาการเมาค้างจะยิ่งอยู่ยืนนาน
2.หัวใจ
ลองสังเกตว่าคุณเขมือบอาหารไขมันสูงคู่กับเครื่องดื่มแก้วโปรดมากไปหรือเปล่า พิซซ่าแค่คำเดียวสามารถป่วนระบบการไหลเวียนของเลือดได้ทันที หัวใจเลยทำงานหนักขึ้น ผลข้างเคียงแบบนี้เกิดจากการดื่มเหล้าได้เช่นกัน
3.ระบบย่อยอาหาร
ฟังดูขำๆ แต่การดื่มเหล้าไม่เคยเป็นผลดีกับลำไส้เลย อาหารแคลอรีสูงและเหล้าต้องใช้เวลาย่อยนานกว่าปกติ ซึ่งนำไปสู่อาการท้องอืด กรดไหลย้อน และท้องผูก

ความจริงกระเพาะและลำไส้อาจได้รับผลข้างเคียงมากเสียจนเชื้อแบคทีเรียที่ถูกกักเอาไว้เริ่มแพร่เข้าสู่กระแสเลือด มันมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบภูมิคุ้มกัน คุณจึงเป็นหวัดง่าย ถ้ายังฝืนดื่มต่อไปอาการจะหนักขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
4.ตับ
หน้าที่หลักคือกรองทุกสิ่งที่คุณกลืนลงท้องและดูดซึมเก็บไว้ หากกินอาหารขยะและสุรามากเกินไป อวัยวะส่วนนี้ต้องทำงานหนักขึ้น สิ่งเป็นพิษต่อร่างกายเริ่มสะสมภายในตับมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำตาล รวมถึงไขมันส่วนเกินก็จะอุดตันตามส่วนต่างๆ มากขึ้น แต่โชคดีที่นิสัยการกินของไร้ประโยชน์เป็นโทษต่อร่างกายเพียงไม่กี่วัน ไม่สามารถสร้างความเสียหายถาวรแก่ตับได้ (แต่ถ้าคุณยังดึงดันกินต่อไป เตรียมตัวเจอสภาวะคอเลสเตอรอลสูงและตัวบวมอืดได้เลย)
5.ผิวหนัง
สุขภาพภายในแย่ๆ มักจะส่งสัญญาณออกมาในรูปของผิวหมองคล้ำ การขาดสารอาหารเป็นอุปสรรคต่อการซ่อมแซมเซลล์ผิวในเวลาเดียวกัน การกินอาหารไร้ประโยชน์จะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันส่วนเกินบริเวณรูขุมขน แล้วสิวก็จะตามกวนไม่หยุดหย่อน
หนำซ้ำการดื่มหนักเป็นกิจวัตรยังเพิ่มความเสียหายแก่เซลล์ผิวที่เกิดจากพิษรังสี UV อีกด้วย นั่นคือเกิดความเสี่ยงเป็นเนื้องอกถึง 20% ทั้งนี้ หลังจากดื่มเมรัยไปแล้ว ให้รับประทานอาหารวิตามินสูงตามเข้าไป อย่างเช่น ผักใบเขียว เพื่อบรรเทาผลข้างเคียงดังกล่าว
แปลและเรียบเรียงโดย : maemay | ภาพ: Corbis Images
ที่มา Women’s Health Thailand ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2558

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ " เปิดแล้ววันนี้

"เซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ " สาขาน้องใหม่ของเครือเซ็นทรัล กรุ๊ป เตรียมเปิดตัวอีกห้างที่ถนนเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา ในวันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายนนี้  ผู้สื่อข่าวได้สำรวจรอบๆห้างก่อนจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ มีจุดที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบออกกำลังกาย โดยมีลู่วิ่งระยะทาง 300 เมตร  สำหรับคนที่ชอบเดินออกกำลังกาย จ๊อกกิ้ง และวิ่งได้เข้ามาใช้บริการฟรีภายในลู่วิ่ง 3 ลู่ ภายหลังออกกำลังกายเสร็จแล้วยังมีห้องให้อาบน้ำฟรีอีกด้วย 

ใครสนใจทดลองไปใช้บริการได้งานนี้เซ็นทรัลไม่เก็บตังค์ค่าวิ่งแต่ถ้าใครจะช็อปปิ้งก็เชิญตามสบายเช่นกัน





ข้อมูลจาก http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1448545565

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เดี่ยวไมโครโฟน 11 เมื่อพี่โน้สพูดเล่าถึง แบร์ กิล (Bear Grylls) ใน Discovery Channel



ตัวอย่าง สุด ฮา จาก เดี่ยวไมโครโฟน 11 : เดี่ยวไมโครโฟน 11 เมื่อพี่โน้สพูดเล่าถึง แบร์ กิล (Bear Grylls) ใน Discovery Channel

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"ฟิตอย่างเซ็กซี่แบบเจโล"


แม้ล่วงเข้าสู่วัย 46 ปี แต่เจนิเฟอร์ โลเปซ ยังคงรักษารูปร่างได้งดงาม ติดอันดับต้นๆ ของเซเลบสาวหุ่นเป๊ะ แม้ในงานพรมแดงที่เธอไม่ได้ไปปรากฏกายอย่าง MTV Music Award ปีนี้ นิตยสาร People ยังจัดคอลัมน์พิเศษที่เก็บภาพดารานักร้องสาวรุ่นถัดมาที่แต่งกายและมีรูปร่างเซ็กซี่แบบนาฬิกาทรายเช่นเธอ ในชื่อ ‘Everyone Was J.Lo-ing on the Red Carpet’ หรือ ‘บนพรมแดง ใครๆ ก็ดูเหมือนเจโล’
แม้แต่ คิม คาร์ดาเชียน ดาราสาวหุ่นสะบึมที่มียอดผู้ติดตามในทวิตเตอร์สูงถึง 34.9 ล้านคนยังประกาศยกให้ เจโลเป็นสุดยอดแรงบันดาลใจในการดูแลรูปร่างสำหรับเธอไปตลอดกาล
เจโล ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการสร้างรูปร่างแบบนาฬิกาทราย กระชับอก เน้นส่วนเอวที่เว้าคอด ขณะเดียวกันก็มีเส้นสายของแนวกล้ามเนื้อที่สวยงาม กับนิตยสาร Elle ว่า
“ในการออกกำลังกายแต่ละเซ็ต ฉันพยายามทำให้ครบ 10-15 ครั้งใน 1 นาที นั่นหมายความว่า คุณต้องออกแรงอย่างสม่ำเสมอและเร็ว โดยให้ความสำคัญกับการบริหารไหล่ หน้าท้อง และต้นขาเป็นพิเศษ”
ท่าออกกำลังกายที่แนะนำ คือ ท่าวิดพื้นโดยแตะเข่าและงอขาให้ปลายเท้าลอยไว้ ท่ายกขาและพับตัวเอาศอกแตะเข่า ท่าแพล้งค์แบบงอแขนสลับข้างซ้ายขวา และท่าสคว้อชพร้อมยกเวทหนักอย่างน้อย 3 กิโลกรัมไปพร้อมๆ กัน ทุกท่าทำเซ็ตละ 10-15 ครั้ง ทำ 1 ท่าต่อ 1 เซ็ตไล่ไปจนครบ 5 ท่า นอกจากนี้ เธอยังโปรดปรานการฝึกพิลาทิส เต้นรำ และใช้เวลาออกกำลังกายรวมกัน ไม่ต่ำกว่าวันละ 6 ชั่วโมง
ส่วนเรื่องอาหารนั้น เธอเริ่มต้นมื้อเช้าด้วยการดื่มสมู้ทตี้ที่ทำจากผลเบอร์รี่ตามฤดูกาลผสมกรีกโยเกิร์ตและน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวเพื่อแต่งรสเล็กน้อย มื้อกลางวันเป็นสลัดเคลนึ่งโรยเมล็ดทานตะวัน มีแอปเปิ้ลสด 1 ผลเป็นของหวาน ส่วนมื้อเย็น มีกะหล่ำ เผือก และเนื้อปลาอบ ปิดท้ายวัน เครื่องดื่มโปรดของเธอ คือ น้ำเปล่า
ภาพประกอบโดย :jenniferlopez.com
ที่มา นิตยสารชีวจิต

"โทษของการนอนน้อย"


โทษของการนอนน้อยใช่ว่าจะเป็นเพียงการอ่อนเพลีย และง่วงนอนเท่านั้นแต่ยังมีอีกหลากหลายข้อเลยที่เป็นโทษมหันต์ของการนอนน้อย
1. ทำให้อ้วนขึ้นเพราะ ร่างกายหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตทางกายภาพและควบคุมสัดส่วนของไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกายน้อยลง ส่งผลต่อฮอร์โมน Leptin ที่เป็นผลต่อระบบประสาท แปรปรวน ว่าควรจะอิ่มเร็วหรือช้าและจะทำให้รู้สึกอยากอาหารมากขึ้น
2. ไม่มีภูมิต้านทาน เสี่ยงที่จะป่วยจากเชื้อโรคได้ง่ายขึ้นบางคนอาจจะพบว่ามีปัญหาระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นสูงขึ้นและควบคุมยากซึ่งเกือบจะเป็นเหมือนโรคเบาหวาน จากการเจาะตัวอย่างเลือดของพวกเขาเหล่านี้นั่นเอง
3. อาจทำให้เป็นมะเร็ง การแปรปรวนทางฮอร์โมนของร่างกาส่งผลให้ก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้
4. ทำให้โง่ลงการอดนอนส่งผลต่อร่างกาย คือ จะทำให้ประสิทธิภาพการจดจำลดลง หรือสัญญาณเตือนแห่งความโง่นั่นเอง ดังนั้นทางที่ดีคนเราควรต้องนอนให้ได้อย่างน้อย 7 ชั่วโมงก็เพียงพอในแต่ละวัน พร้อมทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
ที่มา รายการพบหมอรามา

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เวทีลุกเป็นไฟ ไก่ อัญชุลีอร - เจ็บนี้จำจนตาย ปล่อยพลังเสียงโซ....สตรองงงง!!! (มีคลิป)

ล่าสุด โชว์จากทีมโค้ชก้อง ที่ส่ง "ไก่ อัญชุลีอร บัวแก้ว" มาร้องเพลง "เจ็บนี้จำจนตาย" ของ นัดดา วิยะกาญจน์ เพลงประกอบละครจากเรื่อง "สุดแค้นแสนรัก" เป็นการส่งท้ายรอบน็อกเอาท์ไปแบบเวทีแทบลุกเป็นไฟ




คลิปจาก Youtube : TheVoiceThailand

เมื่อ Adele ปลอมตัวไปงานประกวด Adele ตัวปลอม (มีคลิป)


ทางช่องโทรทัศน์ BBC ได้จัดการประกวด(ปลอมๆ)ให้คนเลียนแบบ Adele มาร้องเพลงของ Adele และก็ให้ Adele ตัวจริงปลอมตัวเป็นผู้เข้าไปประกวดไปร่วมแข่งขันด้วย
เป็นคลิปที่เรียกรอยยิ้มได้ดีทีเดียวเลย เมื่อทาง BBC ได้จัดรายการประกวดหาคนเลียนแบบ Adele และทีนี้นางเองก็ปลอมตัวเป็น Jenny เพื่อเข้าร่วมประกวดด้วย
โดยนางแต่งหน้าเสริมจมูกและทำคางปลอมๆ พร้อมสวมวิก และเปลี่ยนสำเนียงและท่าทางการเดินไปด้วย
จะมีตอนที่ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นร่างชายแต่งหญิง คนอื่นๆก็จะบอกว่าอเดลคงต้องชอบแบบนี้แน่ๆเลย นางก็ชอบจริงๆ
ตอนท้ายเมื่อนางได้ขึ้นไปร้องเพลงเป็นคนสุดท้าย ทุกคนก็รู้ทันทีว่านั่นคือเธอ แต่ตอนแรกๆก็มีคนที่ไม่เชื่ออยู่นะ
พอผู้เข้าแข่งขันได้รู้ความจริง บางคนก็น้ำตาตกเลยทีเดียวที่ได้เจอกับไอดอลของตัวเอง ถ้าไม่รักจริง ก็คงไม่เลียนแบบแล้วมาประกวดหรอกเนอะ
ไปชมกัน

วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

แนะนำหนังใหม่ประจำสัปดาห์ In the Heart of the Sea




เรื่องย่อ
ช่วงฤดูหนาวปี 1820 เรือล่าปลาวาฬของนิวอิงแลนด์ที่ชื่อ Essex ถูกโจมตีจากสิ่งที่ไม่มีใครอยากเชื่ออย่าง­ปลาวาฬที่มีขนาดใหญ่ยักษ์ ซึ่งมนุษย์สัมผัสได้ถึงพลังแห่งการล้างแค้­น เรื่องจริงของภัยพิบัติทางทะเลได้เป็นแรงบ­ันดาลใจให้กับเรื่อง Moby-Dick ของเฮอร์แมน เมลวิล แต่นั่นเป็นเรื่องราวเพียงครึ่งเดียวเท่าน­ั้น ภาพยนตร์เรื่อง “Heart of the Sea” ถ่ายทอดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากลูก­เรือผู้รอดชีวิตพยายามทำทุกอย่างสุดกำลัง เพื่อการเอาชีวิตรอดจากพายุที่โหมกระหน่ำ ความหิวโหย ความหวาดกลัวและความสิ้นหวัง ทุกคนต่างเกิดข้อสงสัยในความศรัทธาของตัวเ­องที่มีอยู่ลึกๆ ตั้งแต่คุณค่าของชีวิตไปจนถึงจริยธรรมแห่ง­การค้า เมื่อกัปตันเรือของพวกเขาค้นหาเส้นทางบนทะ­เลเปิด และต้นหนเรือ ยังคงหาทางปราบปลาวาฬยักษ์

In the Heart of the Sea
3 ธันวาคม 2558
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/warner.thailand และhttps://twitter.com/WarnerBrosThai

ดีท็อกซ์ลำไส้ ล้างพิษ ให้คุณหรือให้โทษ"


ดีท็อกซ์ลำไส้ ล้างพิษ ให้คุณหรือให้โทษ...

ร่างกายคนเรามีระบบที่ผ่านการออกแบบมาเป็นอย่างดีแล้วทำไม เราถึงยังต้องเจอโรคร้ายสารพัด เช่น อ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคมะเร็ง มากขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายเราก็เหมือนระบบอื่นๆ บางทีก็รวนหรือเสียได้เหมือนกับเครื่องจักรนั่นแหละค่ะ
หนังสือ Pure Health : The Secrets of well-being and Harmony (Metro Books) ของเฮนรี่ เชอน็อต เขียนถึงวิธีการปรับสุขภาพร่างกายให้อยู่ในสภาวะทำงานดีสุดยอด มีพละกำลังสูงสุด สุขภาพแข็งแรง ตลอดจนการป้องกันปัญหาสุขภาพและโรคภัยไข้เจ็บในระยะยาวแทนที่จะคิดว่าการดีท็อกซ์เป็นการขจัดสารพิษออกไปให้สิ้นซากควรทำปีละครั้งก็พอนะคะ
ตามแนวคิดของเชอน็อต เป็นอะไรที่สมเหตุ สมผลมาก นั่่นคือเขาว่าเราควรลดสารพิษกันตลอดทั้งปีด้วยการกินอาหารที่สอดคล้องกับระบบการทำงานของร่างกายและช่วยให้มันปฏิบัติหน้าที่ตามธรรมชาติอย่างคล่องแคล่วทุกวัน ในทางปฎิบัติแล้วคุณต้องกินอาหารเช้ามื้อเบามากๆ ส่วนอาหารเที่ยงให้เน้นพวกแป้ง อาหารเย็นควรทานผลไม้เข้าไปก่อนแล้วตามด้วยพวกโปรตีนแต่สำหรับใครที่ไม่ชอบทานอาหารสุขภาพแนะนำให้ทำดีท็อกซ์เป็นระยะๆจะดีว่านะคะ อย่าเพิ่งด่วนอยากทำดีท็อกซ์ตามกระแสกันล่ะ

ควรศึกษาหาข้อมูลโดยละเอียดก่อนเริ่มปฎิบัติเพราะไม่เช่นนั้นอาจจะให้โทษแทนคุณก็เป็นได้

ที่มา นิตยสาร Women's Health Thailand

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"ปวดท้องโรคกระเพาะโรคฮิตในตอนนี้"



สังคม ในปัจจุบันเป็นสังคมที่มีความเร่งรีบ และมีค่านิยมในการรับประทานอาหารที่แตกต่างจากในอดีต ทำให้อาการปวดท้อง ไม่สบายท้อง อาหารไม่ย่อย หรือ dyspepsia เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุดอย่างหนึ่งในเวชปฏิบัติ และมักพบได้ทุกวัยโดยเฉพาะวัยรุ่นจนถึงวัยผู้ใหญ่ ซึ่งส่วนมากมีอาการเป็นครั้งคราว ไม่รุนแรง แต่ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการเรื้อรังเป็น ๆ หาย ๆ ส่งผลเสียต่อคุณภาพชีวิต ทำให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดเป็นโรคร้ายแรงจนต้องมาพบแพทย์
สาเหตุ ส่วนใหญ่ของอาการปวดท้อง ไม่สบายท้องของเด็กวัยรุ่นและผู้ใหญ่ เกิดจากโรคกระเพาะแปรปรวน หรือ โรคกระเพาะชนิดไม่มีแผล ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ แสบ หรืออึดอัดไม่สบายท้อง จุกเสียดหลังรับประทานอาหารแล้วรู้สึกอิ่มเร็วกว่าปกติ คลื่นไส้อาเจียน มักไม่พบความผิดปกติเมื่อทำการตรวจร่างกาย หรืออาจกดเจ็บบริเวณลิ้นปี่เพียงเล็กน้อย โรคกระเพาะกลุ่มนี้ถ้าได้รับการส่องกล้องดูภายในกระเพาะอาหาร มักพบว่าผิวเยื่อบุกระเพาะอาหารปกติหรือมีการอักเสบเพียงเล็กน้อย และไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร
สาเหตุของ โรคกระเพาะแปรปรวนยังไม่ทราบชัดเจน แต่เชื่อว่าเกิดจากกลไกหลายอย่าง ได้แก่ การหลั่งกรดในกระเพาะอาหารในปริมาณมากกว่าปกติ การรับรู้สิ่งกระตุ้นไวกว่าปกติ ความผิดปกติของฮอร์โมนในทางเดินอาหาร รวมถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกระเพาะและลำไส้เล็กส่วนต้น โดยมีสิ่งกระตุ้นที่ทำให้อาการแย่ลง เช่น ความเครียดทางกายและจิตใจ การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารมัน อาหารรสจัด แอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เป็นต้น อย่างไรก็ตามยังมีโรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการปวดท้องคล้ายโรคกระเพาะแปรปรวน ได้ เช่น โรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้นจากสาเหตุ ต่างๆ เช่น ยาแก้ปวด การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร (Helicobactor pylori) โรคกรดไหลย้อน หลอดอาหารอักเสบ โรคนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งกระเพาะอาหารหรือหลอดอาหาร เป็นต้น
โรคเหล่านี้ มักพบในผู้ใหญ่ได้มากกว่าในเด็ก หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องรวดเร็วแล้ว อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงขึ้นได้ ทั้งนี้อาการที่เป็นสัญญาณอันตรายที่ควรรีบไปพบแพทย์ ได้แก่ อาเจียนรุนแรงต่อเนื่อง กลืนลำบาก เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซีดเหลือง ถ่ายดำ มีอาการปวดท้องแม้ในตอนกลางคืน หรือทานยาโรคกระเพาะทั่วไปแล้วอาการไม่ดีขึ้น เป็นต้น
เมื่อ ผู้ป่วยมาพบแพทย์ด้วยอาการปวดท้องบริเวณลิ้นปี่ ก็จะได้รับการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยละเอียดและแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติม ตามความเหมาะสม เช่น ตรวจเลือดดูภาวะซีด ตรวจอุจจาระเพื่อดูว่ามีเลือดปนมาหรือไม่ ตรวจโดยส่องกล้องกระเพาะอาหารเพื่อดูการอักเสบและแผล ตรวจหาเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรด้วยลมหายใจ และอัลตราซาวด์หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่องท้อง แนวทางการรักษาโรคกระเพาะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัย หากพบเป็นโรคกระเพาะแปร ปรวน หรือโรคกระเพาะชนิดไม่มีแผล แม้จะมีอาการเรื้อรัง แต่มักไม่เปลี่ยนแปลงเป็นแผลหรือมะเร็ง แต่อาการที่เป็นบ่อย ๆ นั้นอาจรบกวนชีวิตประจำวัน การรักษาโดยอาศัยการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารและการดำเนินชีวิตร่วมกับ การใช้ยาเพื่อลดอาการ เช่น ยาลดการหลั่งกรด ยาแก้อาเจียน ยาขับลม     
ส่วนระยะเวลา ในการรักษานั้นไม่แน่นอน ขึ้นกับผู้ป่วยแต่ละราย ส่วนใหญ่เมื่อรับประทานยา 1-2 สัปดาห์ อาการมักจะทุเลาลง แต่อาจเป็นซ้ำได้ ส่วนโรคกระเพาะอักเสบรุนแรง หรือเป็นแผลในกระเพาะนั้นต้องรักษาตามสาเหตุร่วมกับใช้ยาลดการหลั่งกรดเป็น เวลานาน 4-8 สัปดาห์ขึ้นไป ทั้งนี้การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันหรือลดอาการปวดท้องโรคกระเพาะทำได้ไม่ยาก และสามารถเริ่มได้ด้วยตัวคุณเอง ดังนี้

- รับประทานอาหารในปริมาณพอเหมาะไม่มากเกินไป

- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมันหรือรสจัด

- ลดปริมาณการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน น้ำอัดลม และแอลกอฮอล์

- งดการสูบบุหรี่ - หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่มีฤทธิ์ระคายเคืองกระเพาะอาหาร โดยเฉพาะยาแก้แพ้

- โปรดหลีกเลี่ยงความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ

อาการปวดท้อง ท้องอืด อาหารไม่ย่อยเป็นภาวะที่พบได้บ่อย ส่วนใหญ่เกิดจากโรคกระเพาะแปรปรวน หรือ โรคกระเพาะชนิดไม่มีแผล ซึ่งไม่อันตราย แต่อาจก่อให้เกิดความรำคาญและวิตกกังวลความเข้าใจถึงสาเหตุและหลีกเลี่ยง ปัจจัยที่ทำให้อาการแย่ลงได้ จะช่วยลดภาวะนี้ลงได้อย่างมาก ทั้งนี้ควรไปพบแพทย์ หากมีสัญญาณอันตรายหรืออาการไม่หายหลังการปรับพฤติกรรมดังกล่าวแล้ว.


อ.พญ.ฉัตต์มณี เลิศอุดมผลวณิช ภาควิชากุมารเวชศาสตร์
คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล“


ที่มา เดลินิวส์

"ครีมกันแดดช่วยให้ผิวขาวได้"

 
ครีมกันแดดช่วยให้ผิวขาวได้

คุณทราบหรือ ไม่ว่า รังสีอัลตราไวโอเลตจากแสงแดดนั้นมีบทบาทในการทำลายผิวได้ในหลายๆ ด้าน เช่น ทำลายความยืดหยุ่นของคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวดูแห้งเหี่ยวและเกิดริ้วรอยขึ้นได้ง่าย แสงแดดสามารถทำให้ผิวอ่อนแอลง จึงทำให้ผิวเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำได้ แสงแดดที่แรงเกินยังสามารถทำให้เกิดอาการผิวไหม้แดดทำให้ผิวลอก มีอาการแสบร้อน และสามารถเป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตประวันได้ อีกทั้งรังสียูวีจากแสงแดดยังเป็นตัวสร้างเม็ดสีเมลานินเพื่อป้องกันผิวหนัง ของเราจากแสงแดด แต่เม็ดสีเมลนินนี้เองที่เป็นสาเหตุให้ผิวคล้ำและดำขึ้นหรือทำให้สีผิวไม่ สม่ำเสมอแลดูไม่เนียนเรียบ

การทาครีมกันแดดนั้นจึงสำคัญต่อสุขภาพผิว เป็นอย่างมาก หากคุณอยากมีผิวที่ขาวใสและเนียนเรียบอย่างเป็นธรรมชาติ คุณควรเริ่มต้นจากการปกป้องผิวก่อนการแก้ไข ทางด้านล่างนี้คือ วิธีเลือกครีมกันแดดที่ถูกต้องพร้อมวิธีทาครีมกันแดดที่สามารถเพิ่ม ประสิทธิภาพการปกป้องผิวของคุณ อย่างไรก็ดีนอกจากการปกป้องผิวจากแสงแดด คุณควรดูแลสุขภาพผิวหลังการตากแดดเป็นเวลานาน คลิกที่นี่สำหรับวิธีรักษากระ ฝ้า และจุดด่างดำควบคู่ไปกับวิธีดูแลผิวไหม้แดดที่ปลอดภัย

ขอบคุณภาพจาก  earthlydelights
วิธีเลือกครีมกันแดด

ครีมกันแดดมีส่วนประกอบของสารในการต้านรังสีอัลตร้าไวโอเลตอย่าง UVA และ UVB
  • UVA จากรังสีอัลตราไวโอเลตคือสาเหตุทำให้ผิวแห้งกร้านและเกิดริ้วรอย
  • UVB จากรังสีอัลตราไวโอเลตคือสาเหตุที่ทำให้ผิวคล้ำและยังเป็นที่มาของฝ้า กระ จุดด่างดำ และเป็นตัวการทำให้ผิวไหม้แดดได้
ครีมกันแดดที่และควรเลือกใช้จึงควรมีคุณสมบัติในการป้องกันทั้งรังสี UVA และ UVB ซึ่งจะสามารถปกป้องผิวของคุณได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ดี สำหรับผู้ที่มีผิวขาวหรือผู้ที่มีผิวบอบบางคุณควรใส่ใจในการเลือกค่า SPF เป็นพิเศษ ค่า SPF  ที่สูงจะสามารถปกป้องผิวได้เยอะกว่าเพราะผิวที่บอบบางนั้นไวต่อเเสงแดดและ ผิวสามารถเกิดการไหม้แดดได้ง่าย  เราขอเเนะนำให้เลือกค่า SPF 30 ขึ้นไปเพื่อการปกป้องที่ยาวนานและมีประสิทธิภาพ ส่วนผู้ที่มีผิวสีเข้ม คุณสามารถเลือกครีมกันแดดที่มีค่าน้อยกว่าผู้ที่มีผิวขาวเช่น ค่า SPF15 ก็น่าจะเพียงพอ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ครีมกันแดดที่คุณเลือกใช้ควรมีประสิทธิภาพในการกันน้ำด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจในการทำกิจกรรมต่างๆ
และพร้อมที่จะปกป้องคุณจากเหงื่อและกีฬาทางน้ำเช่น การว่ายน้ำ หรือการเล่นทะเล เป็นต้น

วิธีทาครีมกันแดดให้ถูกวิธี

การทาครีม กันแดดที่ถูกต้องนั้นควรทาตามปริมาณที่ได้เเนะนำไว้บนฉลากผลิตภัณฑ์ ซึ่งโดยปกติจะระบุให้ทาในปริมาณ 1 กรัม การทาครีมกันแดดมากเกินไปไม่ได้หมายความว่าจะปกป้องผิวของคุณจากแสงแดดได้ มากกว่าเดิม แต่ในทางกลับกันจะยิ่งทำให้ผิวรู้สึกเหนียวเหนอะหนะและอาจก่อให้เกิดการอุด ตันของรูขุมขนได้ซึ่งอาจเป็นเสียมากกว่าผลดี การทาครีมกันแดดควรทาให้ทั่วบริเวณร่างกาย โดยไม่ควรละเลยบริเวณ ลำคอ แผ่นหลัง และใบหู

อย่างไรก็ดี คุณควรทาครีมกันแดดก่อนออกนอกบ้านอย่างต่ำ 20-30 นาที เพื่อให้เนื้อครีมหรือโลชั่นซึมลงสู่ชั้นผิวเเละเป็นเกราะป้องกันไม่ให้ รังสีอัลตราไวโอเลตทำร้ายผิว
หากคุณทำกิจกรรมทางน้ำเช่น การว่ายน้ำ คุณควรทาครีมกันแดดซ้ำหลังลงน้ำหรือเมื่อมีเหงื่อออกมาก
ขอบคุณ vaselinethailand

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"ออกกำลังกายVSไดเอ็ตใครเป็นผู้ชนะกันแน่"

 

ออกกำลังกาย VS ไดเอ็ต ใครเป็นผู้ชนะกันแน่?

 
เมื่อต้องถกกันเรื่องลดความอ้วน คุณสาว ๆ อาจยังแคลงใจว่าตกลงอย่างไหนกันแน่ที่สำคัญที่สุด สองผู้เชี่ยวชาญจะมาให้คำตอบกับคุณค่ะ
 
แวะเข้ายิมออกกำลังกาย           
ผู้เชี่ยวชาญ: มิเชล โอลสัน

“คุณตัดสินใจถูกต้องแล้ว คุณสามารถลดน้ำหนักได้เพียงแค่ควบคุมอาหาร แต่การออกกำลังกายก็เป็นส่วนประกอบที่ไม่ควรมองข้าม หาก ไม่ออกกำลังกายเลย น้ำหนักที่หายไปส่วนใหญ่คือกล้ามเนื้อ ความแข็งแรงของกระดูกและไขมันอีกน้อยนิด แต่เมื่อร่างกายเคลื่อนไหว นั่นหมายถึงระบบเผาผลาญถูกกระตุ้นให้ทำงาน ซึ่งแปลว่าคุณได้กำจัดไขมันออกไปแล้วนั่นเอง ตัวเลขบนเครื่องชั่งอาจไม่น่าพอใจ แต่นั่นเป็นเพราะกล้ามเนื้อมีขนาดเล็กกว่าไขมันมาก คุณจะดูผอมลงและดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
จากข้อมูลเราพบว่า การลดน้ำหนักด้วยการออกกำลังกายประจำจนติดเป็นนิสัย โดยไม่จำเป็นต้องวิ่งมาราธอน แค่ออกกำลังปานกลาง 5-7 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 50 นาที อย่างการเดินเร็ว หรือเต้นซุมบ้า การออกกำลังแบบใช้แรงต้านล้วนแต่ช่วยได้ทั้งนั้น แต่อย่าโฟกัสกับการยกน้ำหนักเพียงอย่างเดียว
คุณจะสร้างกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้นหากใช้น้ำหนักของร่างกายทั้งหมดต้านแรงดึงดูด โดยใช้ท่าอย่าง ลังก์ สควอต แพลงก์ และวิดพื้น คุณ สาว ๆ อย่าลืมเชียวนะว่า นอกเหนือจากการเผาผลาญไขมัน การออกกำลังกายยังช่วยเรื่องสุขภาพได้อย่างน่าอัศจรรย์ คุณจะหลับสบาย คลอเลสเตอรอลลดลง แถมคลายเครียดได้อีก”

เลือกกินอย่างฉลาด
ผู้เชี่ยวชาญ: ฌอน เอ็ม. ทาลบอตต์
 
จากหลักพื้นฐานที่เราคุ้นเคยกันดี บ่งบอกว่า การลดน้ำหนักที่ได้ผลนั้น 75% มาจากการเลือกกินอย่างถูกวิธี อีก 25% มาจากการออกกำลังกาย ผล วิเคราะห์จากผู้ลดน้ำหนักกว่า 700 เคสได้ข้อสรุปว่า การเลือกกินอย่างฉลาดให้ผลชัดเจนทั้งที่ใช้เวลาสั้น ๆ โดยเฉลี่ยกลุ่มที่ควบคุมอาหาร แต่ไม่ออกกำลังกายลดได้ 23 กก. ในเวลา 15 สัปดาห์ ส่วนกลุ่มที่ออกกำลังกาย ลดน้ำหนักได้เพียง 3 กก. ตลอดระยะเวลา 21 สัปดาห์ การจำกัดปริมาณแคลอรี่นั้นง่ายกว่าการกำจัดไขมันออกไป อย่างเช่น หากคุณเผลอเขมือบฟาสต์ฟู้ดอย่าง Steak Quesadilla ที่ให้พลังงานถึง 500 แคลอรี คุณจะต้องวิ่งมากกว่า 4 ไมล์เพื่อสลายมัน!
อ้าว ถ้างั้นจะให้กินอะไรดี? การงดแป้งเป็นที่นิยมกันมาก เพราะให้ผลชัดเจนทันใจสาว ๆ ทั้งที่ใช้เวลาไม่นาน แต่ยากเหลือเกินที่จะคงน้ำหนักไว้ในระยะยาว เราขอแนะนำการกินแบบสมดุล โดยเน้นกินผลไม้ ผัก โปรตีน ไม่ติดมัน และแป้งโฮลเกรน
อย่าจำกัดแคลอรีน้อยเกินไป (เพราะระบบเผาผลาญทำงานช้าและจะสูญเสียกล้ามเนื้อ) วิธี นับแคลอรีอย่างถูกคือ น้ำหนักตัว 0.5 กก. กินได้ 10 แคลอรี่ ดังนั้นหากคุณหนัก 68 กก. คุณสามารถกินได้ประมาณ 1,500 แคลอรี่” ด้วยวิธีนี้คุณจะลดน้ำหนักได้ ไม่ว่าจะออกกำลังกายหรือไม่ก็ตาม

 
ที่มา WOMEN'S HEALTH THAILAND

"ฟิตหน้าท้องไว้มีชัยไปกว่าครึ่ง"



เวลา ฝึกพิลาทีสคุณแอบโกงไม่ยอมเกร็งหน้าท้องหรือเปล่า ขอบอกว่าการเวิร์กเอาต์แกนกลางลำตัว (รวมถึงหน้าท้องด้วย) ให้ประโยชน์สารพัดนอกเหนือจากหุ่นฮอต ๆ ในชุดบิกินี มาร์ก เวอร์สเตเกน เจ้าของงานเขียน The Core Performance บอกให้จำประเด็นพวกนี้ไว้เตือนใจตัวเองในครั้งต่อไปที่คุณขี้เกียจบริหาร หน้าท้อง   กล้ามเนื้อแกนกลางที่แข็งแรงจะ…
1/ ช่วยลดและป้องกันอาการเจ็บ “แกนกลางลำตัวที่แข็งแรงทำให้คุณทรงตัวได้ดี มันเป็นเหมือนอุปกรณ์พยุงข้อต่อโดยธรรมชาติ”
2/ ทำให้คุณดูสูงขึ้นและผอมลง “เมื่อฝึกหลังช่วงบนและไหล่จนแข็งแรง กล้ามเนื้อพวกนี้จะถูกดึงไปด้านหลังและกดให้ต่ำลง หลังก็เลยหายค่อม”
3/ กระบวนการชะลอความชรา “การรักษาแกนกลางที่แข็งแรงทำให้ร่างกายตั้งตรงและทำงานได้อย่างเหมาะสม”
4/ สมองทำงานดีขึ้น “ถ้ากระดูกสันหลังมั่นคงสมองจะรับสารต่าง ๆ จากร่างกายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5/ เพิ่มสมรรถภาพร่างกาย “แกนกลางลำตัวที่มั่นคงส่งผลให้ทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดเล็กดีขึ้น ปฏิกิริยาตอบสนองจะดีขึ้นตาม และสามารถทรงตัวได้ดีบนพื้นผิวที่ไม่มั่นคง   
ที่มา นิตยสาร Women’s Health ฉบับเดือนพฤศจิกายน 2013

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"ปรับพฤติกรรมต้าน มะเร็ง"

 
ปรับพฤติกรรมต้าน มะเร็ง
 
เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันจอห์นฮอปกิ้นส์ได้เผยแพร่งานวิชาการระบุว่า เซลล์มะเร็งมีอยู่ในร่างกายของทุกคน และจะแสดงอาการเมื่อร่างกายของคนคนนั้นเริ่มอ่อนแอ 
 
ทั้งนี้ ภญ.วิชชุลดา ผรณเกียรติ์ ผู้เชี่ยวชาญจากเมก้า วีแคร์ ให้ข้อมูลว่า ทุกคนสามารถป้องกันมะเร็งได้ด้วยการปรับพฤติกรรมบริโภคอาหาร และปรับวิถีการดำเนินชีวิตให้เหมาะสมตามแบบที่ทำให้เรามีสุขภาพดีทั้งกายและ ใจ ทั้งนี้ ควรเลือกบริโภคอาหารที่มีประโยชน์และหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำลายสุขภาพ ได้แก่ เลือกกินอาหารที่เค็มน้อยและหวานน้อย โดยกินเกลือไม่เกิน 1 ช้อนชา หรือ 6 กรัมในอาหารทั้งหมดที่กินในแต่ละวัน และกินน้ำตาลไม่เกิน 3 ช้อนโต๊ะต่อวัน หรือเลือกใช้น้ำผึ้งแทนน้ำตาล 
 
หลีกเลี่ยง อาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ เนื้อสัตว์ปิ้ง ย่าง รมควัน และลดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม เป็นต้น ให้เหลือไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับวัย และต้องหลากหลาย มีไขมันต่ำ ปราศจากไขมันทรานส์ 
 
และควรเน้น อาหารที่ประกอบจากธัญพืช เช่น เมล็ดถั่วต่างๆ งา ข้าวโพด ข้าวกล้อง ฯลฯ รวมถึงผักสดและผลไม้วันละ 500 กรัม หรือมากกว่าครึ่งของปริมาณอาหารโดยรวมที่เข้าสู่ร่างกาย เพื่อให้ได้วิตามินและสารอาหาร
 
หากไม่สามารถ กินอาหารสดได้เพียงพอ องค์ความรู้การแพทย์ทางเลือกระบุว่า ยังมีสารอาหารธรรมชาติ หรือวิตามินหลายชนิดที่มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินซี วิตามินอี ฯลฯ ที่สามารถเสริมสร้างความแข็งแรงของร่างกายได้ นอกจากนี้ ควรมองโลกในแง่ดี อารมณ์ดี ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมตามวัย และพักผ่อนให้เพียงพอ
 
ขอบคุณ MatichonOnline

"ดูกันหน้าชัดๆเจาะ 5 ยุง มัจจุราชร้าย"

 
ช่วง เดือนนี้พบว่าเป็นช่วงที่โรคไข้เลือดออกกำลังระบาดหนัก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ มีข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ระบุว่าในพื้นที่กรุงเทพฯ มีผู้ป่วยจากโรคไข้เลือดออกมากกว่า 12,700 คน รวมถึงดารานักแสดงขวัญใจมหาชนอย่าง ปอ ทฤษฎี ก็ถูกหามส่งโรงพยาบาล ด้วยอาการของโรคไข้เลือดออกเช่นกัน
วันนี้เรา เลยจะพาไปรู้จักยุงเหล่านี้ให้ดีขึ้น เพื่อที่คุณจะได้จำแนกแยกแยะให้ออกว่า ชนิดไหนเป็นตัวการนำไปสู่โรคอะไร จะได้ป้องกันและรักษาตัวเองได้ทันท่วงที ส่วนจะมียุงชนิดไหนบ้าง มาดูกัน
1. ยุงลายบ้าน (Aedes aegypti)
ยุงลายบ้าน
เป็นพาหะ สำคัญของโรคไข้เลือดออก พบบ่อยในเขตเมือง มีขนาดค่อนข้างเล็ก บินได้ว่องไว หนวดมีลายสีขาวรูปเคียว 2 อันอยู่ด้านข้าง มีขาลายชัดเจน
ยุงชนิดนี้ เพาะพันธุ์ในภาชนะที่มีน้ำขังทั้งในและนอกบ้าน ชอบกินเลือดคนมากกว่ากินเลือดสัตว์ มักหากินเวลากลางวัน ช่วงสายและบ่าย ยุงลายชอบเข้ากัดคนทางด้านมืดหรือที่มีเงา โดยเฉพาะบริเวณขาและแขน ขณะที่กัดมักไม่ค่อยรู้สึกเจ็บ คนถูกกัดจึงไม่รู้สึกตัว มักเกาะพักตามมุมมืดในห้อง โอ่ง ไห หรือตามพุ่มไม้ที่เย็นชื้น
2. ยุงลายสวน (Aedes albopictus)
ยุงลายสวน
เป็นพาหะ สำคัญของโรคไข้เลือดออกเช่นกัน พบได้ทั่วไปในเขตชานเมือง ชนบท และในป่า มีลวดลายที่หนวด แตกต่างจากยุงบ้าน คือมีแถบยาวสีขาวพาดผ่านตรงกลางหัว ยาวไปตามความยาวของลำตัว เพาะพันธุ์ในภาชนะที่มีน้ำขัง กระบอกไม้ โพรงไม้ กะลามะพร้าว ใบไม้ ฯลฯ มีอุปนิสัยคล้ายๆ กับยุงลายบ้าน แต่มีความว่องไวน้อยกว่า
3. ยุงรำคาญ (Culex)
ยุงรำคาญ
เป็นพาหะที่ สำคัญของไวรัสไข้สมองอักเสบและโรคเท้าช้าง พบบ่อยในเขตเมือง เป็นยุงสีน้ำตาลอ่อน เพาะพันธุ์ในน้ำเสีย ตามร่องระบายน้ำ คู และหลุมบ่อต่างๆ
ส่วนยุง รำคาญที่พบบ่อยในชนบท ได้แก่ ยุงชนิด Cx tritaeniorhynchus และชนิด Cx vishnu เนื่องจากมีท้องนาเป็นแหล่งเพาะพันธุ์หลัก โดยเฉพาะช่วงที่ไถนา และบริเวณหญ้าแฉะรกร้าง จะชุกชุมมากในฤดูฝน ยุงชนิดนี้ชอบกัดและดูดเลือดสัตว์มากกว่าคน
นอกจากนี้ยังมียุงชนิด Armigeres เป็นยุงก่อความรำคาญเช่นกัน มักกัดในเวลาพลบค่ำ มีขนาดใหญ่ บินช้าๆ และกัดเจ็บ
4. ยุงก้นปล่อง (Anopheles)
ยุงก้นปล่อง
เป็นพาหะนำ โรคมาลาเรีย ในประเทศไทยเท่าที่พบในปัจจุบันมียุงก้นปล่องอย่างน้อย 73 ชนิด แต่มีเพียง 3 ชนิดที่เป็นพาหะสำคัญ การสังเกตยุงชนิดนี้ทำได้ง่าย คือ เวลามันเกาะพัก จะยกก้นชี้ขึ้นเป็นปล่องสูงจากพื้น
ยุงก้นปล่อง จะออกหากินเลือดในเวลากลางคืน พบได้บ่อยบริเวณป่าเขา เชิงเขา ป่าไร่ ทั่วไป แหล่งเพาะพันธุ์ ได้แก่ ลำธารหรือลำห้วยที่น้ำไหลช้าๆ แหล่งน้ำซึม จะชุกชุมมากช่วงต้นฤดูฝน ในระหว่างเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม และปลายฤดูฝนเดือนกันยายน-พฤศจิกายน
5. ยุงเสือหรือยุงลายเสือ (Mansonia)
ยุงเสือ
เป็นพาหะของ โรคเท้าช้าง ลำตัวและขามีลวดลายค่อนข้างสวยงาม บางชนิดมีสีเหลืองขาวสลับดำ คล้ายลายของเสือโคร่ง บางชนิดมีลายออกเขียวคล้ายตุ๊กแก ยุงเหล่านี้ชอบเพาะพันธุ์ในบริเวณที่เป็นหนอง คลอง บึง สระ ที่มีพืชน้ำพวกจอกและผักตบชวา
ยุงลายเสือ จะมีปีกแตกต่างจากยุงกลุ่มอื่น คือ เส้นปีกจะมีเกล็ดใหญ่สีอ่อนสลับเข้ม ลำตัวปกคลุมด้วยเกล็ดเช่นกัน ทำให้ดูคล้ายมีฝุ่นผงเกาะติดทั่วตัว ขาลายเป็นปล้องๆ มักจะกินเลือดสัตว์มากกว่าคน มักชุกชุมเวลาพลบค่ำหลังพระอาทิตย์ตกดิน พบมากในภาคใต้ของประเทศไทย บางชนิดพบมากบริเวณชายแดนไทย-พม่า
อย่างไร ก็ตาม การป้องกันอันตรายจากยุงเหล่านี้ก็คือ พยายามหลีกเลี่ยงไปในแหล่งที่ยุงชุกชุม ถ้าจำเป็นต้องไปบริเวณนั้น ก็ต้องสวมเสื้อผ้าให้มิดชิด ทายากันยุง หรือฉีดสเปรย์กันยุงเสมอ ส่วนรอบๆ บ้านเรือนที่พักอาศัย ก็ต้องกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง คว่ำภาชนะทุกอย่างที่มีน้ำขัง และนอนในมุ้ง เป็นต้น
ที่มาข้อมูล : med.cmu.ac.th
ที่มาภาพบางส่วน : en.wikipedia.org

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"ซุปเปอร์โมเดลลูก 2 หุ่นเป๊ะ จิเซลล์"

ในยุคที่การออกกำลังกายเฟื่องฟู สาวๆ ทุกคนคงปรารถนาหุ่นที่เป็นมัดกล้ามรูปร่างเพรียวกระชับ แทนที่จะเป็นหุ่นผอมบางราวกระดาษแบบเก่าๆ
ดังนั้นคุณคงรู้จักเธอคนนี้ – จิเซลล์ บุนด์เช่น นางแบบระดับซุปเปอร์โมเดลวัย 35 ปี มักมีคนพบเห็นเธอในชุดออกกำลังกายเสมอ
ปัจจุบัน จิเซลล์เป็นคุณแม่ลูกสองและเป็นทูตด้านสิ่งแวดล้อมขององค์การสหประชาชาติ ผลงานจากการเดินแบบที่ผ่านมาของเธอ ทำให้ได้รับการโหวตจากนิตยสารชั้นนำอย่าง Men’s Health GQ และ Vanity Fair ให้ติดอันดับผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก กระทั่ง แอนนา วินทัวร์ บรรณาธิการบริหาร นิตยสารโว้ค ผู้มีฝีปากกล้ายังให้การยอมรับและขนานนามเธอว่า เป็นสุดยอดนางแบบยุคมิลเลเนียม
แม้จะมีรูป ร่างค่อนข้างผอมบาง แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นกล้ามเนื้อไปทุกสัดส่วน จิเซลล์ขึ้นชื่อเรื่องเป็นผู้มีวินัยในการออกกำลังกายสูงมาก ตั้งแต่เช้าตรู่ จิเซลล์จะออกไปวิ่งจ็อกกี้รอบๆ ที่พักเป็นการเริ่มต้นวันใหม่ก่อนไปทำกิจกรรมอื่นๆ นี่เป็นสิ่งที่เพื่อนบ้านของเธอพบเห็นได้เสมอ นอกจากนี้ เธอยังเคยให้สัมภาษณ์ว่า ในชีวิตนี้ยอมขาดออกกำลังกายไปเพียง 2 สัปดาห์เพื่อพักฟื้นหลังการคลอดเท่านั้น
หากให้เลือก กีฬาโปรด เธอมักจะตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า คือ โยคะและกังฟู สัปดาห์ละ 2 วัน แม้จะมีการเคลื่อนไหวไม่เร็วเท่าการเต้น หรือใช้กำลังหนักๆ อย่างการยกเวทแต่ทั้งสองวิธีนี้ล้วนต้องอาศัยความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว โดยเฉพาะช่วงท้อง เพื่อยกน้ำหนักตัวเองขึ้นและเกร็งค้างท่าไว้ เธออธิบายว่า ช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและกระชับเป็นวิธีที่ช่วยสร้างสมาธิได้ดีมากเช่น กัน
นอกจากนี้ เธอยังฝึกพิลาทิสสัปดาห์ละ 3 วัน เพื่อกระชับสัดส่วนและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อต่อทั่วร่างกาย ส่วนการสร้างกล้ามเนื้อหลักๆ นั้น เธอใช้วิธียกเวทสัปดาห์ละ 3 วันร่วมกับการบริหารร่างกายแบบคาร์ดิโอสัปดาห์ละ 4-5 วันๆ ละ 30 นาที เป็นอย่างต่ำ
หากรู้สึก เบื่อ จิเซลล์จะเปลี่ยนไปฝึกกีฬาทางน้ำ เช่น โปโลน้ำ หรือ ว่ายน้ำ สลับกับตารางออกกำลังกายข้างต้นที่ทำเป็นมาตรฐานทุกสัปดาห์ ส่วนการวิ่งซึ่งช่วยกระตุ้นการทำงานของหัวใจนั้นเธอมักใช้เวลาช่วงเช้าตรู่ ออกวิ่งไปตามเส้นทางใกล้ๆ ที่พัก อย่างน้อยวันละ 45 นาที
อาหารสำหรับ รูปร่างเพรียวและสมส่วนของเธอ ได้แก่ มื้อเช้าที่มีขนมปังปิ้ง ผลไม้สด และน้ำมะพร้าวมื้อกลางวันเป็นข้าว ผักใบเขียว เนื้อสัตว์เล็กน้อย ส่วนมื้อเย็นเป็นปลาย่าง กินคู่กับสลัดผักสด ซึ่งเน้นมะเขือเทศ เนื่องจากเธอชื่นชอบเป็นพิเศษ โดยมีผลไม้สดเป็นของหวานหลังมื้ออาหารและเป็นของว่างระหว่างวัน
ที่มา นิตยสารชีวจิต

"ดูแลตัวเองให้สวยแบบสาวมิว"

 

ดูแลตัวเองให้สวยแบบสาว มิว-นิษฐา จิรยั่งยืน

 
มิวเล่าให้ฟังว่าตัวเองไม่เคยมีปัญหาเรื่องรูปร่าง ยกเว้นสมัยเรียนมหาวิทยาลัยตอนปี 1 ซึ่งต้องไปใช้ชีวิตที่หอพักย่านคลอง 16 เธอต้องใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน ๆ ร่วมหอจากที่เคยครองหุ่นสวยอยู่ที่ 41 กิโลกรัมภายในปีเดียวน้ำหนักขึ้นมาถึง 48 กิโลกรัมเรียกว่าเป็นช่วงชีวิตที่เอ็นจอยกับชีวิตมาก หน้ากลม แขนใหญ่ แต่ไม่แคร์ หลังจากนั้นเมื่อต้องกลับมาอยู่บ้านตามเดิม น้ำหนักที่เคยเกินขึ้นมาก็ลดลงจนเหลือเท่าปัจจุบัน (เธอขอรักษาตัวเลขสวย ๆ อยู่ที่ 42 กิโลกรัม)
“มิ วนอนเยอะ ดื่มน้ำเยอะ ๆ กินข้าวให้เป็นเวลา ดูแลทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษมาก ออกกำลังกายบ้างนาน ๆ ที เพราะเราไม่มีเวลา เน้นดูแลตัวให้ดี มิวชอบกินผัก กินได้หลากหลาย เป็นคนไม่ค่อยกินซ้ำ ๆ จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทำให้เราได้สารอาหารครบถ้วน ส่วนวิตามินก็กินบ้าง บางทีเวลาพักผ่อนน้อย ร่างกายขาดสารอาหาร ก็จะเลือกกินน้ำมันตับปลาเสริม
 
 
 
 
“มิว ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องรูปร่าง เพราะเป็นคนตัวเล็กเลยไม่อ้วน ดีที่ไม่ติดขนมหวานกินนิดหนึ่งก็พอแล้ว” นี่ละมั้งที่เธอต่างจากผู้หญิงอื่นที่ขาดขนมไม่ได้เลย
อยาก รู้ว่าเวลาเครียดเธอรับมือกับปัญหาอย่างไร “มิวพยายามจะไม่คิดเรื่องไร้สาระ ถ้าเครียดเรื่องที่ควรเครียดก็พยายามแก้ไขปัญหานั้น แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องที่ควรเครียดก็ปล่อย ๆ ทำลืม ๆ เป็นคนปล่อยวางได้ ช่างมันจะไม่เก็บเอามาคิด”
อย่าง ข่าวตามอินเตอร์เน็ต “โชคดีที่ยังไม่ค่อยเจอข่าวน่ากลัว เจอแต่ข่าวที่อธิบายไปเขาก็เข้าใจ” การเป็นพี่สาวคนโตอาจทำให้เธอต้องนิ่งหรือมีความเป็นผู้นำ แต่พอถามมิวได้แต่หัวเราะก่อนจะบอกว่า ‘ไม่นะคะ’ เราเป็นพี่สาวคนโต นอนห้องเดียวกับน้องค่อนข้างสนิทเพราะห่างกัน 2 ปี อายุไล่เลี่ยกัน มีอะไรก็คุยหรือนัดไปเดินเล่น-กินข้าวเหมือนเพื่อน เราเสมอภาคกัน มิวไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำหรือเป็นพี่”
 
 
 
 
FastTalk
>> เสื้อผ้าที่ซื้อบ่อยที่สุด
เชิ้ตแขนยาวสีขาวกับฟ้า
>> ชุดที่หยิบมาใส่บ่อย
เชิ้ต กางเกงขาสั้น เป็นชุดที่คิดอะไรไม่ออก
>> ออกจากบ้านไม่ได้ถ้าขาด....
มือถือ
>> บ้ากระเป๋าหรือรองเท้า
กระเป๋า แต่มักใช้ใบเดิม ๆ ขี้เกียจย้ายของ
>> ของสะสม
การ์ดเชิญไปดูแฟชั่นโชว์ตั้งแต่ ม.5-6 ตอนนี้ก็ยังเก็บอยู่
>> ถ้าแต่งหน้าได้หนึ่งอย่างก่อนออกจากบ้าน สิ่งนั้นคือ
คิ้ว รู้สึกว่ามีคิ้วแล้วจะโอ.เค.
 
ที่มา นิตยสาร Women’s Health ฉบับเดือนตุลาคม 2014
"ดูแลตัวเองให้สวยแบบสาวมิว"